ผม
ถูกนําตัวไปที่ห้องแห่งหนึ่งในสโมสรกองทัพบก เป็นห้องโถงกว้างๆ
มีทหารอยู่มากพอสมควร ท่าทางของบรรดาทหารในเวลานั้นดูสบายๆ
ประหนึ่งว่าการนำตัวประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารมาสอบสวนเป็นเรื่องปกติ
ผมกังวลกับสถานการณ์ของตัวเองมากๆ ผมคิดว่าหลังจากนี้ ผมคงถูกพาตัวไปต่างจังหวัด เหมือนกับที่ปรากฎในข่าวที่ทหารได้ทำกับแกนนำหรือรัฐมนตรี
ผมไม่แน่ใจว่าผมจะถูกซ้อมหรือเปล่า หรือเขาจะทำอะไรผมมั้ย ผมกลัวว่าจะถูกทรมาน เพื่อให้คายข้อมูลอะไรก็ตามแต่ที่ทหารต้องการให้ผมพูด
ผมถูกพาตัวไปหาสารวัตรทหาร (ส.ห.) นายหนึ่ง อายุประมาณ ๒๕ ปี เขาดูมีท่าทีร่าเริง หน้าที่ของเขาคือการทําทะเบียนประวัติผู้ที่ถูกจับกุมตัวจากการต่อต้านรัฐ ประหาร เขาถามข้อมูลทั่วไป เช่น เบอร์โทรศัพท์ ญาติพี่น้อง ที่พักอาศัย แผนที่ที่พัก ผมพยายามโกหก ผมมีข้อมูลที่จะต้องปกปิด ผมไม่อยากให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ต้องเดือดร้อน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆทราบข่าวที่ผมโดนจับแล้วหรือยัง ผมได้แต่ภาวนาว่า พวกเขาคงเตรียมพร้อม และจัดการเคลียร์ห้องผมให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นเรื่องแผนที่ที่พัก หรือการมีญาติพี่น้องในกรุงเทพฯ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เปิดเผย และดูเหมือนว่าผมจะทําสําเร็จ เพราะ ส.ห. นายนี้ ไม่ได้พยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมบอกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อทําทะเบียนประวัติเสร็จเรียบร้อย ก็ได้มีทหารอีกคนนําตัวผมไปถ่ายรูปทั้งสี่ด้าน และขอโทรศัพท์มือถือของผม (ผมได้แต่หัวเราะในใจ ว่าดีนะที่ผมไม่ได้เอาสมาร์ทโฟนไป เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้ ผมใช้ได้เพียงโทรเข้าออกเท่านั้น และนึกขำต่อไปอีกว่ารุ่นเก่าขนาดนี้ทหารจะหาสายชาร์จแบตได้ไหมนะ) จากนั้น ส.ห. ที่สอบสวนผมก็ให้ผมรอพบกับใครคนหนึ่ง โดยเขาไม่ได้บอกว่าเป็นใคร
ผ่านไปราว ๑ - ๒ ชั่วโมง ส.ห. ได้พาผมไปพบกับชายคนหนึ่งที่แต่งตัวธรรมดาเหมือนประชาชนปกติ อายุราวสามสิบต้นๆ ดูไม่น่าจะใช่ทหารที่มีหน้าที่อยู่ภาคสนามเท่าไหร่ มีลักษณะเหมือนสายลับมากกว่า เมื่อผมนั่งลงตรงหน้าเขา เขาทําความรู้จักกับผมเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็เริ่มสอบสวนผม
เขาถามผมว่า พวกเรามีกันกี่คน ได้เงินทุนมาจากไหน ทําไมถึงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองสงบ รัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วรู้ไหม มันไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ที่จะทําให้ประเทศชาติสงบได้ และคําถามที่เขาดูเหมือนจะอยากรู้มากที่สุดก็ถูกพูดออกมา คุณคิดยังไงกับมาตรา ๑๑๒ พวกคุณล้มเจ้าหรือเปล่า
คำถามเหล่านี้ ผมคาดคิดมาก่อนแล้วว่าต้องถูกถาม เพราะทหารยังไงก็ยังเป็นทหารวันยังค่ำ พวกเขาไม่เชื่อว่าการที่ประชาชนออกมาชุมนุมต้านรัฐประหารคือพลังบริสุทธิ์ พวกเขามักคิดว่าพวกเราโดนซื้อ หรือมีคนอยู่เบื้องหลังเสมอ ผมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขา ผมบอกว่า “ผมกับเพื่อนๆ มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ผมไม่เชื่อว่ารัฐประหารคือหนทางของการแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามันไม่ได้ถูกแก้ แต่คุณแค่ระงับเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่อง ๑๑๒ ที่คุณถามผม มีหลายคนที่พูดเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน บางคนอยากให้ยกเลิก บางคนอยากให้แก้ไข และหลายคนก็มีเจตนาที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณเหมารวมไม่ได้หรอกว่าคนที่พูดเกี่ยวกับ ๑๑๒ จะมีจุดประสงค์เพื่อล้มเจ้า แล้วคุณเองล่ะ คิดยังไงกับ ๑๑๒”
ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “อยากให้เพิ่มโทษเป็นจําคุกร้อยๆ ปีไปเลย พวกเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นพวกล้มเจ้าต้องเอาให้หนัก”
ภายในใจเวลานั้นของผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักนิด เพราะสําหรับทหารส่วนใหญ่เรื่อง ๑๑๒ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางยอมได้ และทหารหลายคนก็คงมีแนวคิดว่าเรียกร้องประชาธิปไตยเท่ากับล้มเจ้า ทหารคนนี้ก็มีระบบความคิดไม่ต่างจากที่ผมเคยเจอมา
เขาถามผมต่อว่า “อย่างเรื่องคอรัปชั่น ออกมาต้านบ้างไหม ทําไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่ยอมออกมา มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
ผมคิดในใจว่า มาอีกละพล็อตเดิมๆ ทำไมไม่ต้านคอรัปชั่น ทำไมผมจึงต้องตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ นะ
“ผมทําสิ ผมทํามากกว่าที่คุณทําอยู่ในเวลานี้ก็แล้วกัน อย่างโครงการ เรือเหาะ GT-200 ก็เป็นโครงการทุจริตที่ผมต่อต้านมากๆ แล้วคุณทําอะไรบ้างไหมกับโครงการทุจริตดังกล่าว ทําอะไรบ้างไหม” ผมตอกหน้าเขาเต็มๆ ทหารคนนั้นหน้าเสียไปเลย ทหารนายนี้น่าจะรู้ดีว่ากองทัพของเขาเต็มไปด้วยคำครหาเกี่ยวกับคอรัปชั่น
เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อผมจึงพูดต่อไปว่า “ว่าไงละ คุณทำอะไรเกี่ยวกับคอรัปชั่นบ้าง คุณรู้ดี ว่าทหารมีหลายอย่างที่พัวพันกับการทุจริตคอรัปชั่น คุณทำอะไรมั้ย ไหนบอกผมมาสิ”
เขานิ่งไป เขาหยุดชะงัก แววตาเหมือนกำลังพยายามตอบตัวเอง และเลือกเฟ้นคำที่เหมาะสมเพื่อตอบคำถามผม ผมค่อนข้างแปลกใจที่ไม่เห็นแววตาโกรธแค้นอะไรเลยเมื่อผมย้อนถามเขา
“ผมทำอะไรไม่ได้ ผมคนเดียวทําอะไรไม่ได้” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
“งั้นแสดงว่าคุณไม่ได้รักชาติอย่างที่พยายามบอกผมใช่ไหม แต่คุณรักตัวเองมากกว่า” ผมโต้เขา
ผู้สอบสวนผมเงียบ ดูเหมือนเขาพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ผมพยายามอย่างหนักเพื่อให้บทสนทนาต่อๆไปของเราพูดแต่เรื่องของการคอรัปชั่น ผมรู้ดีว่าผมได้เปรียบในเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง ทหารนายนี้เริ่มอึกอัก ดูเหมือนจะพูดอะไรต่อไม่ได้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหาคนที่ดูเหมือนเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าได้เวลาพาตัวผมไปต่างจังหวัดแล้ว ผมกังวลว่าสิ่งที่ผมพยายามเล่นงานเขาด้วยเรื่องคอรัปชั่นทหาร อาจทำให้เขาไม่พอใจ และกลั่นแกล้งผมด้วยการกักตัวไว้นานๆ
ผมนั่งอยู่บนโต๊ะตรงนั้นคนเดียวประมาณ ๓๐ นาที ก็มีนายทหารคนนึงเข้ามาพูดด้วยเสียงดังแกมข่มขู่หน่อยๆ ว่า ผมได้รับการปล่อยตัว แต่ต้องเซ็นเอกสารตกลงว่าจะไม่ทําแบบนี้อีก ซึ่งภายในเอกสารใบนั้นประกอบด้วยสาระสําคัญ คือ ห้ามปลุกปั่นยั่วยุหรือชุมนุมทางการเมืองอีก หากฝ่าฝืนจะถูกส่งตัวขึ้นศาลทหาร
ผมใช้ความคิดอย่างหนัก ผมถามหัวใจตัวเองว่าจะสู้กับรัฐประหารแค่ไหน ผมลําบากใจมาก ผมได้แต่ปลอบตัวเองว่าอยู่ ข้างนอก มันน่าจะทําอะไรได้มากกว่าอยู่ในคุกให้ญาติพี่น้องของเราต้องมาขึ้นศาลและหา ทางประกันตัว
ผมแทบร้องไห้ เมื่อพยายามบรรจงเซ็นชื่อตัวเองลงในกระดาษแผ่นนั้น ผมรู้สึกเหมือนทรยศต่ออุดมการณ์ ผมมันขี้ขลาดจนยอมสยบต่อทหาร ผมมันขี้แพ้ใช่มั้ย ผมได้แต่สาปแช่งตัวเองว่า ไอ้ขี้แพ้!
- บุเรงนอง
ผมกังวลกับสถานการณ์ของตัวเองมากๆ ผมคิดว่าหลังจากนี้ ผมคงถูกพาตัวไปต่างจังหวัด เหมือนกับที่ปรากฎในข่าวที่ทหารได้ทำกับแกนนำหรือรัฐมนตรี
ผมไม่แน่ใจว่าผมจะถูกซ้อมหรือเปล่า หรือเขาจะทำอะไรผมมั้ย ผมกลัวว่าจะถูกทรมาน เพื่อให้คายข้อมูลอะไรก็ตามแต่ที่ทหารต้องการให้ผมพูด
ผมถูกพาตัวไปหาสารวัตรทหาร (ส.ห.) นายหนึ่ง อายุประมาณ ๒๕ ปี เขาดูมีท่าทีร่าเริง หน้าที่ของเขาคือการทําทะเบียนประวัติผู้ที่ถูกจับกุมตัวจากการต่อต้านรัฐ ประหาร เขาถามข้อมูลทั่วไป เช่น เบอร์โทรศัพท์ ญาติพี่น้อง ที่พักอาศัย แผนที่ที่พัก ผมพยายามโกหก ผมมีข้อมูลที่จะต้องปกปิด ผมไม่อยากให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ต้องเดือดร้อน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆทราบข่าวที่ผมโดนจับแล้วหรือยัง ผมได้แต่ภาวนาว่า พวกเขาคงเตรียมพร้อม และจัดการเคลียร์ห้องผมให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นเรื่องแผนที่ที่พัก หรือการมีญาติพี่น้องในกรุงเทพฯ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เปิดเผย และดูเหมือนว่าผมจะทําสําเร็จ เพราะ ส.ห. นายนี้ ไม่ได้พยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมบอกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อทําทะเบียนประวัติเสร็จเรียบร้อย ก็ได้มีทหารอีกคนนําตัวผมไปถ่ายรูปทั้งสี่ด้าน และขอโทรศัพท์มือถือของผม (ผมได้แต่หัวเราะในใจ ว่าดีนะที่ผมไม่ได้เอาสมาร์ทโฟนไป เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้ ผมใช้ได้เพียงโทรเข้าออกเท่านั้น และนึกขำต่อไปอีกว่ารุ่นเก่าขนาดนี้ทหารจะหาสายชาร์จแบตได้ไหมนะ) จากนั้น ส.ห. ที่สอบสวนผมก็ให้ผมรอพบกับใครคนหนึ่ง โดยเขาไม่ได้บอกว่าเป็นใคร
ผ่านไปราว ๑ - ๒ ชั่วโมง ส.ห. ได้พาผมไปพบกับชายคนหนึ่งที่แต่งตัวธรรมดาเหมือนประชาชนปกติ อายุราวสามสิบต้นๆ ดูไม่น่าจะใช่ทหารที่มีหน้าที่อยู่ภาคสนามเท่าไหร่ มีลักษณะเหมือนสายลับมากกว่า เมื่อผมนั่งลงตรงหน้าเขา เขาทําความรู้จักกับผมเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็เริ่มสอบสวนผม
เขาถามผมว่า พวกเรามีกันกี่คน ได้เงินทุนมาจากไหน ทําไมถึงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองสงบ รัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วรู้ไหม มันไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ที่จะทําให้ประเทศชาติสงบได้ และคําถามที่เขาดูเหมือนจะอยากรู้มากที่สุดก็ถูกพูดออกมา คุณคิดยังไงกับมาตรา ๑๑๒ พวกคุณล้มเจ้าหรือเปล่า
คำถามเหล่านี้ ผมคาดคิดมาก่อนแล้วว่าต้องถูกถาม เพราะทหารยังไงก็ยังเป็นทหารวันยังค่ำ พวกเขาไม่เชื่อว่าการที่ประชาชนออกมาชุมนุมต้านรัฐประหารคือพลังบริสุทธิ์ พวกเขามักคิดว่าพวกเราโดนซื้อ หรือมีคนอยู่เบื้องหลังเสมอ ผมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขา ผมบอกว่า “ผมกับเพื่อนๆ มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ผมไม่เชื่อว่ารัฐประหารคือหนทางของการแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามันไม่ได้ถูกแก้ แต่คุณแค่ระงับเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่อง ๑๑๒ ที่คุณถามผม มีหลายคนที่พูดเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน บางคนอยากให้ยกเลิก บางคนอยากให้แก้ไข และหลายคนก็มีเจตนาที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณเหมารวมไม่ได้หรอกว่าคนที่พูดเกี่ยวกับ ๑๑๒ จะมีจุดประสงค์เพื่อล้มเจ้า แล้วคุณเองล่ะ คิดยังไงกับ ๑๑๒”
ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “อยากให้เพิ่มโทษเป็นจําคุกร้อยๆ ปีไปเลย พวกเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นพวกล้มเจ้าต้องเอาให้หนัก”
ภายในใจเวลานั้นของผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักนิด เพราะสําหรับทหารส่วนใหญ่เรื่อง ๑๑๒ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางยอมได้ และทหารหลายคนก็คงมีแนวคิดว่าเรียกร้องประชาธิปไตยเท่ากับล้มเจ้า ทหารคนนี้ก็มีระบบความคิดไม่ต่างจากที่ผมเคยเจอมา
เขาถามผมต่อว่า “อย่างเรื่องคอรัปชั่น ออกมาต้านบ้างไหม ทําไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่ยอมออกมา มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
ผมคิดในใจว่า มาอีกละพล็อตเดิมๆ ทำไมไม่ต้านคอรัปชั่น ทำไมผมจึงต้องตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ นะ
“ผมทําสิ ผมทํามากกว่าที่คุณทําอยู่ในเวลานี้ก็แล้วกัน อย่างโครงการ เรือเหาะ GT-200 ก็เป็นโครงการทุจริตที่ผมต่อต้านมากๆ แล้วคุณทําอะไรบ้างไหมกับโครงการทุจริตดังกล่าว ทําอะไรบ้างไหม” ผมตอกหน้าเขาเต็มๆ ทหารคนนั้นหน้าเสียไปเลย ทหารนายนี้น่าจะรู้ดีว่ากองทัพของเขาเต็มไปด้วยคำครหาเกี่ยวกับคอรัปชั่น
เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อผมจึงพูดต่อไปว่า “ว่าไงละ คุณทำอะไรเกี่ยวกับคอรัปชั่นบ้าง คุณรู้ดี ว่าทหารมีหลายอย่างที่พัวพันกับการทุจริตคอรัปชั่น คุณทำอะไรมั้ย ไหนบอกผมมาสิ”
เขานิ่งไป เขาหยุดชะงัก แววตาเหมือนกำลังพยายามตอบตัวเอง และเลือกเฟ้นคำที่เหมาะสมเพื่อตอบคำถามผม ผมค่อนข้างแปลกใจที่ไม่เห็นแววตาโกรธแค้นอะไรเลยเมื่อผมย้อนถามเขา
“ผมทำอะไรไม่ได้ ผมคนเดียวทําอะไรไม่ได้” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
“งั้นแสดงว่าคุณไม่ได้รักชาติอย่างที่พยายามบอกผมใช่ไหม แต่คุณรักตัวเองมากกว่า” ผมโต้เขา
ผู้สอบสวนผมเงียบ ดูเหมือนเขาพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ผมพยายามอย่างหนักเพื่อให้บทสนทนาต่อๆไปของเราพูดแต่เรื่องของการคอรัปชั่น ผมรู้ดีว่าผมได้เปรียบในเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง ทหารนายนี้เริ่มอึกอัก ดูเหมือนจะพูดอะไรต่อไม่ได้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหาคนที่ดูเหมือนเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าได้เวลาพาตัวผมไปต่างจังหวัดแล้ว ผมกังวลว่าสิ่งที่ผมพยายามเล่นงานเขาด้วยเรื่องคอรัปชั่นทหาร อาจทำให้เขาไม่พอใจ และกลั่นแกล้งผมด้วยการกักตัวไว้นานๆ
ผมนั่งอยู่บนโต๊ะตรงนั้นคนเดียวประมาณ ๓๐ นาที ก็มีนายทหารคนนึงเข้ามาพูดด้วยเสียงดังแกมข่มขู่หน่อยๆ ว่า ผมได้รับการปล่อยตัว แต่ต้องเซ็นเอกสารตกลงว่าจะไม่ทําแบบนี้อีก ซึ่งภายในเอกสารใบนั้นประกอบด้วยสาระสําคัญ คือ ห้ามปลุกปั่นยั่วยุหรือชุมนุมทางการเมืองอีก หากฝ่าฝืนจะถูกส่งตัวขึ้นศาลทหาร
ผมใช้ความคิดอย่างหนัก ผมถามหัวใจตัวเองว่าจะสู้กับรัฐประหารแค่ไหน ผมลําบากใจมาก ผมได้แต่ปลอบตัวเองว่าอยู่ ข้างนอก มันน่าจะทําอะไรได้มากกว่าอยู่ในคุกให้ญาติพี่น้องของเราต้องมาขึ้นศาลและหา ทางประกันตัว
ผมแทบร้องไห้ เมื่อพยายามบรรจงเซ็นชื่อตัวเองลงในกระดาษแผ่นนั้น ผมรู้สึกเหมือนทรยศต่ออุดมการณ์ ผมมันขี้ขลาดจนยอมสยบต่อทหาร ผมมันขี้แพ้ใช่มั้ย ผมได้แต่สาปแช่งตัวเองว่า ไอ้ขี้แพ้!
- บุเรงนอง
No comments:
Post a Comment