"วันที่ผมลุกขึ้นสู้...แต่แพ้"
นับตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ผมกับเพื่อนๆซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายๆกัน คือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐประหาร พวกเรามักจะไปด้วยกันเสมอไม่ว่าจะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารที่ไหน เราอยากให้รัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว เราเชื่อว่าถ้ารัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว มันอาจจะเป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเลยก็ได้
ในช่วงแรกของการต่อต้าน แฟนของผมเป็นกังวลมาก ไม่ใช่ผมไม่กังวลหรอกนะ ผมเองก็กลัวมาก แต่ผมรู้ดีว่าผมท้อไม่ได้ ถ้าผมท้อ หรือแสดงความกลัวให้แฟนผมเห็น มันจะยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ผมพยายามปลอบเธอ ว่าผมคงไม่เป็นอะไร คนออกจะเยอะแยะ ทหารคงไม่กล้าทำอะไร แฟนผมร้องไห้และพยายามห้ามผม พยายามบอกว่า ไม่ไปได้มั้ย อย่าไปได้มั้ย แน่นอนว่าเธอรู้ดี เธอไม่สามารถห้ามผมได้ ในที่สุดเธอก็เลิกที่จะพยายามห้ามผม พวกเราทั้งสองคนได้แต่ปลุกปลอบกันและกันว่าคงไม่เป็นไร เดี๋ยวไม่นานก็คงได้เจอกัน
ผมกับเพื่อนๆ เราไปชุมนุมต้านรัฐประหารด้วยกันหลายครั้ง โดยมักเดินทางด้วย BTS สำหรับคนทำงานมันเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด ในช่วงแรกๆของการต่อต้านรัฐประหาร ผมและเพื่อนๆกลัวมาก เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราอาจจะถูกอุ้มหายไปได้
เมื่อไปชุมนุมบ่อยๆ ผมก็เริ่มด้านชากับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่ว่าเราอาจจะถูกจับ ความรู้สึกที่ว่ามีคนจำนวนมากที่ถูกทหารจับตัว ความรู้สึกของการสูญเสียสิทธิ-เสรีภาพ มันกลายเป็นความชินชา เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่ความปลอดภัย สิทธิเสรีภาพ ในประเทศนี้มันไม่มีอีกแล้ว และมันเป็นเรื่องธรรมดาจนดูเหมือนว่าการต่อต้านความชั่วร้ายเหล่านี้กลาย เป็นสิ่งที่แปลกแยกไป
วันแล้ววันเล่าผ่านไป ผมและเพื่อนๆ ยังคงเชื่ออย่างงมงายต่อไปว่าเราจะชนะทั้งๆที่คนที่มาชุมนุมก็ลดลงเรื่อยๆ เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถแก้ไขความผิดพลาดของประเทศนี้ได้ จนกระทั่งพวกเราโดนจับ และนั่นดูเหมือนจะยุติการชุมนุมประท้วงของพวกเราลงไป
วันนั้นเป็นเวลาเย็นๆของสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปชุมนุมเพื่อต่อต้าน คสช.
ผมกับเพื่อนๆ เราตกลงกันว่าจะไปต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งรวมคนกันได้ก็มีจำนวนมากพอสมควร
พวกเราไปถึงก่อนเวลานัดหมายประมาณ ๑ ชั่วโมง และได้พบกับทั้งกำลังตำรวจและทหารที่มารออยู่ก่อนแล้ว
ผมแน่ใจว่า การชุมนุมครั้งนี้ คงไม่สามารถจะทำได้ปกติ ผมรู้สึกได้ว่า ทั้งทหารและตำรวจกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อแยกผุ้ชุมนุมออกจากประชาชนทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขากำลังตามหาเราด้วยเช่นกัน
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลานัดหมายชุมนุม ทหารและตำรวจ เริ่มลงมือจับใครก็ตามที่มีท่าทีเป็นแกนนำ เมื่อเริ่มมีคนถูกจับ สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย ผมกับเพื่อนๆในเวลานี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนผมบางคนได้ถูกทหารหลายคนใช้กำลังรวบตัว ผมพยายามหาทางไปช่วยเพื่อน ไม่ช้าผมก็รู้สถาณการณ์ของตัวเองว่าตอนนี้ทหารได้บล็อคผมไม่ให้ไปช่วยเพื่อน ได้
ผมถูกนำตัวขึ้นรถตู้ และถูกส่งตัวไปยังสโมสรกองทัพบก ในเวลานั้นผมเป็นกังวลหลายๆอย่าง ผมไม่ห่วงว่าตัวเองจะเป็นอะไรกับการเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. เพราะผมชินชา และยอมรับในผลของการกระทำของตัวเองที่ผมรู้ดีว่ามีความเสี่ยง แต่ผมเป็นห่วงครอบครัว ครอบครัวผมเป็น กปปส. ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ผมรู้ดีว่าเมื่อพวกเขารู้ว่าผมถูกจับ มันจะทำให้พวกเขาเสียใจเป็นอย่างมาก และสำหรับญาติพี่น้องบางคนที่ค่อนข้างหัวรุนแรง นั่นอาจหมายถึงผมกลับบ้านตัวเองไม่ได้อีกเลย สำหรับคนรัก ผมเป็นห่วงว่าแฟนผมจะอยู่อย่างไร ผมไม่อยากให้เธอเดือดร้อนไปด้วย และสำหรับห้องพักของผมเอง ผมกลัวว่าทหารจะบุกมายังห้องพักของผม และนั่นอาจหมายถึงว่าจะมีอีกหลายคนที่อาจได้รับอันตราย
ระหว่างการเดินทาง มีทหารประมาณ ๕ นายอยู่บนรถด้วย ในระหว่างนั้นมีสายโทรเข้ามาโทรศัพท์มือถือผม(โชคดีที่ผมใช้โทรศัพท์ที่ทำ ได้เพียงโทรเข้าออก) และเมื่อผมกำลังจะกดรับ ทหารคนนั้นก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปจากผม จนกระทั่งเมื่อสายนั้นหยุดไป ผมก็บอกทหารว่า “เอามันคืนมา” ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “ไม่ได้” ผมสวนกลับไปว่า “ผมจะปิดเครื่องไม่ใช้มัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้” ผมไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวพวกเขา ผมไม่แน่ใจว่าทำไม ทหารผู้นั้นยอมคืนโทรศัพท์ให้ผม จากนั้นผมก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้ ภายในใจเวลานั้น ผมได้แต่เพียงคิดว่า ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว ผมแพ้!
- บุเรงนอง อ่านต่อตอนที่ 2
นับตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ผมกับเพื่อนๆซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายๆกัน คือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐประหาร พวกเรามักจะไปด้วยกันเสมอไม่ว่าจะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารที่ไหน เราอยากให้รัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว เราเชื่อว่าถ้ารัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว มันอาจจะเป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเลยก็ได้
ในช่วงแรกของการต่อต้าน แฟนของผมเป็นกังวลมาก ไม่ใช่ผมไม่กังวลหรอกนะ ผมเองก็กลัวมาก แต่ผมรู้ดีว่าผมท้อไม่ได้ ถ้าผมท้อ หรือแสดงความกลัวให้แฟนผมเห็น มันจะยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ผมพยายามปลอบเธอ ว่าผมคงไม่เป็นอะไร คนออกจะเยอะแยะ ทหารคงไม่กล้าทำอะไร แฟนผมร้องไห้และพยายามห้ามผม พยายามบอกว่า ไม่ไปได้มั้ย อย่าไปได้มั้ย แน่นอนว่าเธอรู้ดี เธอไม่สามารถห้ามผมได้ ในที่สุดเธอก็เลิกที่จะพยายามห้ามผม พวกเราทั้งสองคนได้แต่ปลุกปลอบกันและกันว่าคงไม่เป็นไร เดี๋ยวไม่นานก็คงได้เจอกัน
ผมกับเพื่อนๆ เราไปชุมนุมต้านรัฐประหารด้วยกันหลายครั้ง โดยมักเดินทางด้วย BTS สำหรับคนทำงานมันเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด ในช่วงแรกๆของการต่อต้านรัฐประหาร ผมและเพื่อนๆกลัวมาก เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราอาจจะถูกอุ้มหายไปได้
เมื่อไปชุมนุมบ่อยๆ ผมก็เริ่มด้านชากับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่ว่าเราอาจจะถูกจับ ความรู้สึกที่ว่ามีคนจำนวนมากที่ถูกทหารจับตัว ความรู้สึกของการสูญเสียสิทธิ-เสรีภาพ มันกลายเป็นความชินชา เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่ความปลอดภัย สิทธิเสรีภาพ ในประเทศนี้มันไม่มีอีกแล้ว และมันเป็นเรื่องธรรมดาจนดูเหมือนว่าการต่อต้านความชั่วร้ายเหล่านี้กลาย เป็นสิ่งที่แปลกแยกไป
วันแล้ววันเล่าผ่านไป ผมและเพื่อนๆ ยังคงเชื่ออย่างงมงายต่อไปว่าเราจะชนะทั้งๆที่คนที่มาชุมนุมก็ลดลงเรื่อยๆ เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถแก้ไขความผิดพลาดของประเทศนี้ได้ จนกระทั่งพวกเราโดนจับ และนั่นดูเหมือนจะยุติการชุมนุมประท้วงของพวกเราลงไป
วันนั้นเป็นเวลาเย็นๆของสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปชุมนุมเพื่อต่อต้าน คสช.
ผมกับเพื่อนๆ เราตกลงกันว่าจะไปต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งรวมคนกันได้ก็มีจำนวนมากพอสมควร
พวกเราไปถึงก่อนเวลานัดหมายประมาณ ๑ ชั่วโมง และได้พบกับทั้งกำลังตำรวจและทหารที่มารออยู่ก่อนแล้ว
ผมแน่ใจว่า การชุมนุมครั้งนี้ คงไม่สามารถจะทำได้ปกติ ผมรู้สึกได้ว่า ทั้งทหารและตำรวจกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อแยกผุ้ชุมนุมออกจากประชาชนทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขากำลังตามหาเราด้วยเช่นกัน
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลานัดหมายชุมนุม ทหารและตำรวจ เริ่มลงมือจับใครก็ตามที่มีท่าทีเป็นแกนนำ เมื่อเริ่มมีคนถูกจับ สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย ผมกับเพื่อนๆในเวลานี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนผมบางคนได้ถูกทหารหลายคนใช้กำลังรวบตัว ผมพยายามหาทางไปช่วยเพื่อน ไม่ช้าผมก็รู้สถาณการณ์ของตัวเองว่าตอนนี้ทหารได้บล็อคผมไม่ให้ไปช่วยเพื่อน ได้
ผมถูกนำตัวขึ้นรถตู้ และถูกส่งตัวไปยังสโมสรกองทัพบก ในเวลานั้นผมเป็นกังวลหลายๆอย่าง ผมไม่ห่วงว่าตัวเองจะเป็นอะไรกับการเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. เพราะผมชินชา และยอมรับในผลของการกระทำของตัวเองที่ผมรู้ดีว่ามีความเสี่ยง แต่ผมเป็นห่วงครอบครัว ครอบครัวผมเป็น กปปส. ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ผมรู้ดีว่าเมื่อพวกเขารู้ว่าผมถูกจับ มันจะทำให้พวกเขาเสียใจเป็นอย่างมาก และสำหรับญาติพี่น้องบางคนที่ค่อนข้างหัวรุนแรง นั่นอาจหมายถึงผมกลับบ้านตัวเองไม่ได้อีกเลย สำหรับคนรัก ผมเป็นห่วงว่าแฟนผมจะอยู่อย่างไร ผมไม่อยากให้เธอเดือดร้อนไปด้วย และสำหรับห้องพักของผมเอง ผมกลัวว่าทหารจะบุกมายังห้องพักของผม และนั่นอาจหมายถึงว่าจะมีอีกหลายคนที่อาจได้รับอันตราย
ระหว่างการเดินทาง มีทหารประมาณ ๕ นายอยู่บนรถด้วย ในระหว่างนั้นมีสายโทรเข้ามาโทรศัพท์มือถือผม(โชคดีที่ผมใช้โทรศัพท์ที่ทำ ได้เพียงโทรเข้าออก) และเมื่อผมกำลังจะกดรับ ทหารคนนั้นก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปจากผม จนกระทั่งเมื่อสายนั้นหยุดไป ผมก็บอกทหารว่า “เอามันคืนมา” ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “ไม่ได้” ผมสวนกลับไปว่า “ผมจะปิดเครื่องไม่ใช้มัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้” ผมไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวพวกเขา ผมไม่แน่ใจว่าทำไม ทหารผู้นั้นยอมคืนโทรศัพท์ให้ผม จากนั้นผมก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้ ภายในใจเวลานั้น ผมได้แต่เพียงคิดว่า ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว ผมแพ้!
- บุเรงนอง อ่านต่อตอนที่ 2
No comments:
Post a Comment