Friday, October 24, 2014

เรื่องเล่าจากห้องขัง แอนน์ แฟรงก์ ตอนที่ 2




ตอนนี้ผมจะเล่าต่อจากตอนที่แล้วถึงบรรยากาศในขณะ ที่ถูกควบคุมตัวและการสอบสวน หลังเข้ารายงานตัวกับ คสช. ตามสถานที่ วันเวลาที่ คสช. มีคำสั่ง โดยได้นัดหมายคนที่ถูกเรียกในคำสั่งเดียวกันที่พอรู้จักกันเข้าพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆ มาส่ง รวมทั้งนั่ง รอ พวกเขานั่งรอข้างนอกตั้งแต่ช่วงสายวันนั้น จนกระทั่งค่ำ โดยไม่ทราบเลยว่าหลังจากที่พวกผมเข้าไปรายงานตัวแล้ว สักบ่ายแก่ๆ ทหารก็นำตัวพวกผมไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถบอกหรือแจ้งเพื่อนๆ ที่มารออยู่ข้างนอกได้เลย แม้กระทั่งเพื่อนบางคนที่สามารถเข้ามาในสถานที่ห้องรายงานตัวได้ พวกผมก็ไม่ได้บอกกล่าวว่าเขาพาไปไหน ทหารที่ควบคุมพวกเราก็ไม่บอกหรือแจ้งว่าจะพาไปไหนด้วย มีเพียงนกกระดาษที่ผมพับและส่งให้เพื่อน โดยไม่ได้มีข้อความหรือนัยยะอะไรฝากไว้ก่อนไป อันนี้กลับมานึกแล้วก็ขำเหมือนกัน

เมื่อพวกผมถูกควบคุมตัวด้วยรถตู้พร้อมทหารอาวุธครบมือ ไปยังค่ายทหารไม่ไกลจากสถานที่เข้ารายงานตัว ก็ได้เข้าพักห้องนอนรวม ที่ดัดแปลงจากห้องอาหารมาเป็นห้องนอน มีการปิดประตู ม่าน ฟีเจอร์บอร์ด สแลนด์และยังแถมด้วยรั้วลวดหนาม เพื่อไม่ให้แสงลอดเข้ามา มีการล็อคประตูจากด้านนอก หากต้องการเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ระยะ 5 ก้าว จากห้องพัก ก็ต้องเคาะประตูเรียกทหารที่ถือ M16 เฝ้าอยู่คอยเปิดให้ ขณะที่พวกผมไปถึงเขายังทำห้องไม่เสร็จ สอบถามทหารที่ดูแล จึงทราบว่าพวกเขาพึ่งรับคำสั่งเมื่อเช้าให้เตรียมสถานที่ (รายละเอียดไว้ตอนหน้าผมจะเล่าเพิ่มเติม ตอนนี้จะเน้นไปที่เรื่องที่เขาคุยกับพวกผมเป็นหลัก)

การสอบสวนของทหารที่ควบคุมตัวนั้นไม่มีประเด็นทางการเมือง มีเพียงการให้กรอกประวัติ ช่องทางติดต่อ วาดแผนที่บ้าน ช่วงค่ำคนที่ถูกคำสั่งเรียกรายงานตัวฉบับเดียวกันก็มาเข้าที่กักตัว พวกผมก็ได้สอบถามถึงแนวข้อสอบและแนวการสอบสวนของเขาว่า ทำอะไรและถามอะไรบ้าง โดยพวกผมถูกนำตัวมาสอบสวนในวันรุ่งขึ้น สถานที่สอบสวนเป็นสถานที่เดียวกับที่เข้ารายงานตัว วันนั้นผมรอทั้งวัน กว่าจะได้เข้าสอบก็ประมาณ 2 ทุ่ม โดยที่ผมเป็นคนรองสุดท้ายของวันนั้น ระหว่างรอเข้าห้องสอบสวน การเข้าห้องน้ำจะต้องแจ้ง สห. ที่คอยควบคุมตัวอยู่ มีการจัดเลี้ยงอาหารตลอดเวลา และแยกผู้ที่ถูกสอบแล้วกับผู้ที่ยังไม่ถูกสอบออกจากกัน ผมได้ใช้เวลาที่เดินเข้าห้องน้ำสอบถามพวกที่ถูกสอบแล้วว่าเขาถามอะไรบ้าง ทำให้ตอนนั้นผมดูเหมือนท้องเสียมาก ผมถามได้ไม่นาน สห. ก็จะเดินมาไล่ไม่ให้คุยกัน

ขณะรอเข้าสอบสวนนายทหารที่เป็นคนจัดคิวมาแลกเปลี่ยทัศนคติอย่างไม่เป็นทาง การ มีการโม้ว่าทหารเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ เรียนอย่างนั้นอย่างนี้มา วิพากษ์วิจารณ์บทบาทอเมริกาที่เรียกร้องให้ไทยมีการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ในขณะนั้น เราก็ได้แต่ อืมๆ เพื่อลองฟังความเห็นของเขา รวมทั้งตอนนั้นคิดว่าพูดให้น้อยที่สุดจะดีกว่า

ถึงคิวผมเข้าห้องสอบสวน จะมีการเรียกชื่อและมี สห. พร้อมอาวุธปืนเดินคุมตัวไปยังห้องบริเวณนั้น บรรยากาศในห้องเหมือนห้องประชุมโตะกลมทั่วไปเป็นห้องกระจกโปร่ง มีนายตำรวจชั่นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนั่งตรงกล่างเป็นประธาน และคนจากหน่วยงานและกลุ่มต่างๆ ที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็น “หน่วยความมั่นคง” ทั้งที่แต่งตัวธรรมดาและมาในเครื่องแบบ นั่งล้อมวง โดยมีผมอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมตั้งกล้องวิดีโอบันทึกตลอดเวลาที่ผมเข้าไปนั่ง

สำหรับคณะผู้สอบสวน มีท่าทีที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งแบบดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนที่นั่งเป็นประธาน คนที่ดูแบบกวนๆ ยั่วยุ กล่าวหาว่าผมกระทำความผิดอย่างนั้นนี้ แบบดุๆ ข่มขู่ แบบแสดงบทที่ทำความเข้าใจผม เป็นต้น

คำถามที่พวกเขาถามผมแบ่งเป็น ข้อมูลพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย การศึกษา การทำงาน ฯลฯ ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อความมั่นคง การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าว ทัศนะคติเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และทัศนคติเกี่ยวกับการรัฐประหาร เป็นต้น

เปิดฉากการสอบสวนด้วยการไซโคก่อน โดยบอกกับผมว่า เพื่อนของผมที่เข้ามาก่อนหน้านี้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บอกทุกอย่าง และหวังว่าผมจะให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน

ในส่วนการสอบถามเรื่องสถานที่ทำงานของผมนั้น มีผู้สอบคนหนึ่งต่อว่าผมด้วยว่า ไปทำงานที่นั่นได้อย่างไร ที่นั่นสนับสนุนการหมิ่นสถาบันฯ ผมก็ชี้แจงไปว่าไม่เคยมีการดำเนินคดีในข้อหานี้กับเนื้อหาที่พวกเราทำงาน จากนั้นคณะผู้สอบฯ ก็ถามผมถึงลักษณะทำงาน ประเด็นที่ทำ ฯลฯ
คำถามเกี่ยวกับการกระทำที่คณะผู้สอบสวนมองว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระ มหากษัตริย์ พวกเขาเริ่มต้นโดยการจี้กล่าวหาว่าผมไปกระทำความผิดนั้น ทำไม ทำอย่างไรบ้าง ผมจึงตอบไปว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว หลังจากนั้นก็เริ่มสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่คณะผู้สอบฯ กล่าวหาว่ากระทำความผิด ว่ารู้จักหรือไม่ นำภาพต่างๆ มาให้ผมดู ถามด้วยว่าทราบเรื่องการกระทำเหล่านั้นหรือไม่ ได้ดูหรือไม่ ดูแล้วคิดอย่างไร ผมก็ตอบเขาไปว่าทราบบ้างไม่ทราบบ้าง และไม่เคยดูการกระทำที่คณะผู้สอบยกมา จนทำให้บางคนในคณะผู้สอบต่อว่าผมว่า แย่มากที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

หลังจากนั้นก็เริ่มซักถาม โดยพวกเขาเรียกมันว่า ‘ขอแลกเปลี่ยนทัศนคติ’ พร้อมกับไซโคด้วยว่า เพื่อนของผม คนที่ถูกสอบส่วนก่อนหน้านี้เขาให้ให้ทัศนะที่เป็นประโยชน์กับพวกเขามาก ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดในใจคือพวกเขาคงมีข้อมูลผมพอสมควร ดังนั้นการตอบก็ควรตอบในสิ่งที่ผมแสดงออกไว้ในทางสาธารณะเป็นหลัก

“คุณคิดอย่างไรกับสถาบันกษัตริย์” เป็นคำถามที่ผู้สอบยิงตรงมายังผม ผมก็ตอบไปว่าผมไม่ได้มองสถาบันกษัตริย์ในลักษณะที่เป็นตัวบุคคล แต่มองในลักษณะที่ “ความเป็นสถาบัน” ซึ่งมีองค์ประกับที่หลากหลาย เช่น กฏหมาย โดยเฉพาะ มาตรา 112 ซึ่งผมเห็นว่าต้องแก้ไข ทั้งเรื่องโทษที่หนักเกินไป ทั้งควรแยกประเภทความผิดออกจากกัน เช่น ‘หมิ่นประมาท’ กับ ‘แสดงความอาฆาตมาดร้าย’ นั้น ไม่ควรอยู่ในมาตราเดียวกัน การฟ้องร้องคดีก็ไม่ควรให้ใครก็ได้เป็นผู้ฟ้อง ควรมีการให้องค์กรอย่างสำนักราชวังเป็นผู้ดำเนินการ รวมไปถึงกระบวนการดำเนินคดี ควรให้สิทธิประกันตัวผู้ต้องหาทุกกรณี เพราะคดีนี้ที่ผ่านมาส่วนมากจะไม่ได้รับกระประกันตัว มันจึงเท่ากับเป็นการลงโทษพวกเขาล่วงหน้าแล้ว ยิ่งสร้างบรรยากาศความกลัวในการพิสูจน์ความจริงของผู้ถูกกล่าวหา ทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะหนี แม้ไม่ได้กระทำความผิด คือ “จะผิดหรือจะถูก แต่ถ้าคุณถูกกล่าวหาด้วยข้อหานี้ คุณถูกเข้าคุกไว้ก่อน”

ผมยังยกกรณีตัวอย่างเรื่องกีฬา ที่เป็นกิจกรรมที่ผมถนัดเพื่อแลกเปลี่ยนกับเขาว่า ถ้าเปรียบกับมวย ปกติประชาชนที่เป็คู่คดีกับรัฐหรืออัยการ ก็เหมือนมวยรุ่นเล็กแบกน้ำหนักขึ้นชกกับรุ่นใหญ่อยู่แล้ว รัฐมีความสามารถและอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลหลักฐานมากกว่าเวลาสู้คดี แต่การไม่ให้ประกันตัวนี่ก็ไม่ต่างจากการเอามวลรุ่นเล็กที่แบกน้ำหนักขึ้นชก นั้น ไปขักก่อนแข่ง ไม่ได้เตรียมข้อมูลหลักฐานในการสู้คดี ต่อให้เวลาขึ้นชก กรรมการหรือผู้พิพากษาตัดสินอย่างตรงไปตรงมาตามข้อมูลพยานหลักฐาน แต่โทษที่ผู้ต้องหาได้รับมันอาจจะมาจากการที่พวกเขาถูกทำให้เสียความสามารถ ในการสู้คดีมากกว่าสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำจริงๆ ก็เป็นได้

จากนั้นผมบอกด้วยว่า ความเป็นสถาบันนั้นต้องมีความสามารถในการปรับตัว ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นิ่งๆ แต่ต้องมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมบริบทต่างๆ เช่น ความต้องการ ความคาดหวังของคนในสังคม ซึ่งขณะนี้ก็เป็นที่รู้ว่ามีความหลากหลาย เรามีการเปิดประเทศเปิดสังคม ความคิดและข้อมูลจึงไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวตายตัวได้ ผมเลยยกเรื่องตึกสูงกลางเมืองเพื่อเปรียบเทียบให้คณะผู้สอบฯ ฟัง ว่าคนที่อยู่ในเมืองในจุดที่ต่างกันอาจมองตึกได้ภาพต่างกันไป คนอยู่ไกลอาจมองอีกแบบ คนอยู่ไกลอาจมองอีกแบบ และการที่มีคนบอกเล่าเรื่องราวในสิ่งที่เขาเห็นหรือรู้ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะล้มหรือทำลายตึกสูงนั้น คนที่บอกว่าตึกนั้นมีรอยร้าว ก็ไม่ได้มายหมายความว่าเขาต้องการทุบทำลายตึก แต่บรรดาคนรักตึกกับไม่ได้มองแบบนั้นในเวลานี้ ดังนั้นคนรักตึกควรที่จะรับฟังทัศนะหรือความเห็นต่อตึกในแง่ต่างๆ เปิดให้พวกเขาได้พูด ถ้าตึกร้าวจริงก็จะได้ซ้อม แต่ถ้าร้าวไม่จริงก็จะได้ชี้แจง เพื่อให้คนที่เข้าใจผิดเข้าใจว่า สิ่งที่เขาเห็นมันอาจจะเป็นแค่สีกะเทาะ เป็นต้น

การใช้อำนาจและการตีตราว่าคนที่พูดในทางไม่ดีต่อตึกเป็นพวกที่จ้องทำลายตึก และจับเขาเหล่านั้นเข้าคุก มันทำให้คนไม่กล้าบอกความจริงอย่างที่เขาคิดออกมา และแน่นอนเราหลีกหนีการนินทาในที่ลับ ไม่ได้ การกดทับโดยใช้อำนาจบีบแบบนี้ ยิ่งทำให้คนเลือกใช้วิธีการนินทา นั่นไม่ยิ่งทำให้คนรักตึกเสียโอกาสที่จะชี้แจงความจริงหรอกหรือ

หลังจากที่ผมเล่าไป คณะผู้สอบฯ ก็รับฟัง พร้อมแลกเปลี่ยนกลับมา โดยพวกเขายืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง แต่ต้องพูดด้วยความจริงต่อกัน ผมก็ยืนยันว่าผมเห็นด้วยแน่นอน และที่สำคัญผมเชื่อว่า “วิธีการเป็นสิ่งที่กำหนดผลลัพธ์” ถ้าจะไปเชียงใหม่ โดยที่เราเลือวิธีการเดินอ้อมไปเรื่อยๆ เมื่อเราเดินอ้อมไปเราอาจพบกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ป่าสวยๆ เราอาจจะมีอิทธิพลและเปลี่ยนความคิดคุณค่าเรา และรวมไปถึงเปลี่ยนใจจากที่จะไปเชียงใหม่ ไปเป็นเดินชมนกชมไม้แทน ซึ่งทำให้ผิดเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ต้น กลายเป็นเอาวิธีการเดินอ้อมชมป่าไม้มาเป็นเป้าหมายแทน เป็นต้น

นอกจากนี้เขายังถามทัศนะเกี่ยวกับการรัฐประหาร ผมก็ตอบไปว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว มีวิธีอื่น แทนที่จะนำกำลังทหารมารัฐประหาร สู้คอยอำนวยความสะดวกให้มีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่จะดีกว่า บทเรียนการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันยิ่งขยายความขัด แย้ง ประเด็นนี้ผมแลกเปลี่ยนได้นิดเดียว คณะผู้สอบฯ โดยเฉพาะตัวประธานก็แลกเปลี่ยนกลับ โดยยกเรื่องหากไม่มีการยึดอำนาจก็จะมีการปะทะกัน มีการซ่องสุมอาวุธสงคราม และไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม จัดการปัญหาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจไม่ได้ เป็นต้น ขณะนั้นผมคิดว่าพอดีกว่า ฟังเขา แสดงออกถึงความคล้อยตาม ตอบเขาไปอย่างเดียว “ครับ ครับ”
สุดท้ายก่อนจบการสอบ คณะผู้สสอบฯ นำข้าวต้มมาให้ผมกินอีก ซึ่งผมปฏิเสธไปพร้อมว่ากินแล้ว แต่ก็คะยั้นคะยอว่าให้กินให้ได้ เลยต้องกิน ก่อนที่จะพาไปห้องบันทึกคำสอบสวน ซึ่งเป็นการถอดเทปจากที่ผมพูดไป พร้อมให้ผมเซ็นชื่อประกอบบันทึกนั้น

ก่อนเอาคนที่ถูกสอบทั้งหมดช่วงนั้น 4 คน มาให้โอวาส โดยประธานคณะผู้สอบฯ มีการพูดถึงความความจำเป็นของการยึดอำนาจ ทัศนะคติที่ได้จากพวกเรา และขอให้ความร่วมมือกับ คสช. และเปิดให้สักถาม ผมเลยได้ถามเรื่องชื่อและเบอร์ติดต่อของหัวหน้าผู้สอบสวน เพื่อจะได้ขอข้อมูลและสอบถามทัศนะในภายหลัง เพื่อนำมาเผยแพร่บอกเล่าให้สาธารณะชนทราบถึงเหตุผลที่กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทราบ แต่กลับถูกปฏิเสธ

หลังจากนั้นพวกผมก็ถูกพาตัวกลับไปที่กักตัวที่เดิมต่อ

- เสียงสามัญ
Read More »

ศัตรูภายในของฝ่ายประชาธิปไตย Anti REDUDD ประจำวันที่ 22-10-57

*Anti REDUDD ประจำวันที่ 22-10-57 ศัตรูภายในของฝ่ายประชาธิปไตย
 

https://www.mediafire.com/?j9mj4nhbvyucsff
 

http://www.2shared.com/audio/uZD_Mw2O/Anti_REDUDD__22-10-57.html
 

http://www.4shared.com/mp3/obh2A4a6ba/Anti_REDUDD__22-10-57.html?

 

 

Read More »

ลุงสมชายอาจตายแล้ว Anti REDUDD ประจำวันที่ 8-10-57

*Anti REDUDD ประจำวันที่ 8-10-57 ลุงสมชายอาจตายแล้ว
 

https://www.mediafire.com/?16c1hjk4xt6q82d
 

http://www.2shared.com/audio/1_JL4mqn/Anti_REDUDD__8-10-57.html
 

http://www.4shared.com/mp3/_Oa6qZoOce/Anti_REDUDD__8-10-57.html?

Read More »

Wednesday, October 1, 2014

แม้ว่านักกีฬาจะจากท่านผู้นำมาเพียงหนึ่งสัปดาห์

สำนักข่าวเกาหลีเหนือรายงานว่านักกีฬาของตนที่ไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา เอเชียนเกมส์ที่เกาหลีใต้มีอาการคิดถึงบ้าน จึงรวมตัวกันร้องเพลงและอ่านกวีสดุดีจอมพลคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
นายคิม ยอง ฮึน รัฐมนตรีด้านการกีฬาบอกว่า "แม้ว่านักกีฬาจะจากท่านผู้นำมาเพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่พวกเขาก็ส่งใจถึงท่านผู้นำที่เหล่านักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันคิดถึง ทั้งในยามหลับและยามตื่น"

Read More »

วลีของเซเลปฝ่ายกราบแดก คงเคยได้ยินคำเหล่านี้บ่อย


Post by สะใภ้ เสียงชาวบ้าน.


วลีของเซเลปฝ่ายกราบแดก คงเคยได้ยินคำเหล่านี้บ่อย

https://www.youtube.com/watch?v=k-7oN2vt-8c&feature=youtu.be

- สามัคคีกันไว้ จับมือกันไว้ คนเสื้อแดงเรามันพี่น้องกัน เราไม่ทิ้งกัน(แต่แม่งนักโทษทีเรือนจำถูกคุณแม้วมันทิ้งหมดแล้ว)

- ขนาดสามัคคีกันสู้ ยังจะไม่รู้เลยว่าจะชนะหรือเปล่า? จะมาแตกแยกกันได้อย่างไร?
ปัญหาคือ

-สามัคคีกันทำอะไรไม่เคยบอกประชาชน ปลายทางแห่งชัยชนะคืออะไร? สู้ชนะแล้วประชาชนจะได้อะไรก็ไม่เคยบอก ขนาดทอดผ้าป่าชาวบ้านยังต้องคุยกันบอกกันก่อนเลยว่าทอดทำไม เพราะอะไร

-ที่สำคัญ (แม้ว-แกนนำ-เพื่อไทย)พวกมึงสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่ผ่านมาเห็นแต่พวกมึงกราบแดก เอามวลชนมารับลูกปืนเพื่อต่อรองหาแดกร่วมกันชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ เท่านั้น

- ประชาชนไม่เคยแตกแยก มีแต่ขบวนกราบของแม้วต่างหากที่พยายามแยกมวลชนให้ไปซุกใต้ตีนแม้ว เพื่อจะได้เอาไปตาย ได้ต่อรองหาแดกร่วมกับอำมาตย์อีกต่อไป เท่านั้นเอง
Read More »

จุดอ่อนของเสรีไทย Anti REDUDD ประจำวันที่ 1-10-57

*Anti REDUDD ประจำวันที่ 1-10-57 จุดอ่อนของเสรีไทย


https://www.mediafire.com/?2ei9aeqlnq20k08
 

http://www.2shared.com/audio/j44ZVde7/Anti_REDUDD__1-10-57.html
 

http://www.4shared.com/mp3/yJ7mr3KOce/Anti_REDUDD__1-10-57.html?

Read More »

เรื่องเล่าจากห้องขัง ตอน 2 แอนน์ แฟรงค์ ตอน 2

  เมื่อ ตัดสินใจเข้าสู่การมอบตัวตามหมายจับ เราถูกควบคุมตัวทันทีจากตำรวจ ขั้นตอนแรกตำรวจได้ทำบันทึกการจับกุม แต่เห็นท่าทีของตำรวจยังไม่มั่นใจว่าเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ จึงให้เรานั่งรอและมีการเรียกทหารเข้ามาปรึกษาหารือกันว่ากรณีของเราจะ ดำเนินการอย่างไรต่อ ในห้องจับกุมจึงเต็มไปด้วยทหารตำรวจใส่เครื่องแบบและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก ตำรวจมาชี้แจงว่าทหารกำลังปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดีระหว่าง นำตัวไปค่ายทหารตามแบบคนอื่นๆ ที่ถูกเรียกรายงานตัว หรือนำตัวไปที่กองทัพบกที่รับรายงานตัวตามประกาศของ คสช.

ระหว่างที่รอข้อสรุปอยู่นั้น ในห้องจับกุมได้ยินทหารใช้วิทยุคุยกันว่าเตรียมรถไปค่ายเมืองกาญจน์ (ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ ขณะนั้นยังไม่ทราบ)
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปว่าทหารไม่ต้องการดำเนินการใดๆ แล้ว ให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนของตำรวจได้เลย มีนายตำรวจระดับสูงเดินทางมาแถลงข่าวในเรื่องของการจับกุมเราด้วย ทำเหมือนกับว่าเป็นการคุมตัวอาชญากรคดีร้ายแรง เมื่อเสร็จการแถลงข่าวจึงนำตัวไปที่สำนักงานตำรวจแห่งหนึ่งเพื่อทำการสอบสวน

ก่อนจะส่งตัว ตำรวจได้เช็คเส้นทางและเช็คว่ามีมวลชนทราบเรื่องหรือไม่ เมื่อเช็คแล้วปกติดี ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย ใช้รถยนต์ส่วนตัว นำมาที่สำนักงานตำรวจ เราจึงได้ถามตำรวจว่าขั้นตอนต้องเป็นอย่างไรต่อไป ตำรวจบอกว่าให้ทางสำนักงานใหญ่ดำเนินการ นั่นยิ่งทำให้ระหว่างเดินทางไปสำนักงานตำรวจดังกล่าว ไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป

เมื่อเดินทางมาถึงสำนักงานตำรวจดังกล่าว ตำรวจที่คุมตัวจึงส่งมอบตัวเราตามขั้นตอนทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแจ้งว่ารอทหารเช็คข้อมูลอีกครั้ง โดยอาจจะต้องส่งตัวไปกองทัพบก ระหว่างนั่งรอความชัดเจน มีนายทหารเข้ามาพูดคุยเหมือนทักทายปกติว่ามาทำอะไรที่นี่ พอเราเล่าว่าถูกจับเรื่องอะไร ก็ทำเป็นสนใจว่าเราเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไรถึงถูกจับ แต่เป็นการพูดคุยเป็นปกติเหมือนคนถามไถ่ทั่วๆ ไป แต่เราสังเกตว่าเมื่อมีคนมาถ่ายรูป ทหารนายนี้จะออกอาการไม่ค่อยพอใจซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นหัวหน้าทหารที่ประจำ สำนักงานตำรวจ ซึ่งรู้จักเราดี ขณะที่รอ หากจะเข้าห้องน้ำต้องแจ้งตำรวจก่อน ส่วนญาติ เพื่อนและทนายความนั้น สามารถเข้ามาพูดคุย ทานข้าวด้วยกันได้ ใช้เวลานั่งรออยู่ถึง 4 ชั่วโมง

จากนั้นตำรวจมาแจ้งว่าจะเริ่มทำการสอบสวน เพราะทหารไม่เอาตัวแล้ว ตำรวจจึงนำตัวไปพิมพ์มือลายนิ้วมือทำประวัติ ในระหว่างการสอบสวนไม่มีการกดดันใดๆ เลย พูดคุยซักถามเกี่ยวกับประเด็นไม่มารายงานตัว ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีเชื่อมโยงหาใคร ตำรวจบอกว่าทุกอย่างทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่เมื่อเสร็จแล้วจะต้องเอาเข้าคณะกรรมการทำงาน ซึ่งในคณะกรรมการทำงานนั้นจะมีทหารร่วมด้วย สำหรับการจะสอบเพิ่ม สั่งฟ้อง ปล่อยตัว หรือตัดสินใจใดๆ นั้น เป็นเรื่องของคณะกรรมการทำงานเท่านั้น (แต่จากการสังเกต คาดว่าทหารจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ) หลังจากผ่านขั้นตอนการสอบสวนก็ส่งตัวเข้าห้องขังตำรวจทันที และแจ้งว่าพรุ่งนี้จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหาร
ชีวิตในห้องขัง... สภาพห้องขังที่มีห้องน้ำอยู่หลังห้อง ก่ออิฐมาแค่ครึ่งตัว เวลานั่งทำธุระก็จะเห็นหัวโผล่มานิดหน่อย เมื่อเข้าไปก็เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสามคนที่ถูกขังอยู่แล้ว การพูดคุยผ่านกรงขังจึงเริ่มขึ้น และแต่ละคนอยู่ในห้องขังของตัวเอง

เพื่อนคนแรกในห้องขังเล่าว่าเขาถูกทหารไปค้นบ้าน และเชิญตัวไปที่ค่ายทหารโดยรถยนต์ส่วนตัวของทหาร เมื่อขึ้นรถ ทหารให้ทดลองเอาหัวนิ้วมือชิดกันให้ทหารดูว่าสามารถทำได้หรือไม่ จากนั้นทหารก็นำพลาสติกรัดข้อนิ้วมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งนำถุงผ้าดำคลุมหัว และเขาถูกสอบสวนในประเด็นเกี่ยวกับข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันกษัตริย์
เขาเล่าว่าเขาดูเอกสารที่ทหารเอามาให้ดูเป็นข้อความที่เขาไม่เคยเขียน เขาจึงไม่ยอมรับ นอกจากนี้ทหารเอารูปถ่ายที่ระบุว่าเป็นตัวเขาที่ไปร่วมชุมนุมต้านรัฐประหาร มาให้เขาดู พร้อมกับสอบถามเขาว่าใช่ตัวเขาหรือไม่ ซึ่งเขาเล่าว่าเขายอมรับ ทหารจึงส่งตัวเขามาให้ตำรวจ จึงทำให้ถูกขังอยู่ที่นี่
เพื่อนร่วมห้องขังคนที่ 2 เล่าว่า ถูกตำรวจไปนำตัวมาจากที่ชุมนุมต้านรัฐประหารแห่งหนึ่งพร้อมเพื่อนๆ อีกหลายคน ซึ่งเพื่อนๆ ของเขาถูกปล่อยตัวไปหมดแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ถูกจับตัวมาด้วยกัน เขาเล่าด้วยว่าถูกตำรวจเรียกไปสอบสวนเอารูปถ่ายที่เขาเคยถ่ายกับนายจักรภพ เพ็ญแข มาให้ดู พร้อมสอบถามด้วยว่ารู้จักและไปเจอกันที่ไหน

คนที่ 3 เล่าว่า ทหารไปนำตัวเขามาจากบ้าน พร้อมกับใช้ผ้าปิดตามัดมือในระหว่างอยู่ในรถ มีการข่มขู่จะทำให้ตายด้วยหากไม่รับสารภาพว่ามีกองกำลังอาวุธ เขาเล่าด้วยว่า คนที่ควบคุมตัวเขานำของแข็งๆ มาจี้ที่เอว พร้อมกับบอกให้รับสารภาพว่ามีกองกำลังอยู่กี่คน นำภาพถ่ายที่เขาถือปืนมาถามว่าไปฝึกอาวุธกันที่ไหน เขาเล่าด้วยว่า ถูกควบคุมอยู่ 7 วัน จึงมาส่งเขามาให้ตำรวจดำเนินคดีละขังที่นี่
คืนนั้นในห้องขังพวกเราแต่ละคนพูดคุยปรับทุกข์กัน โดยไม่รู้ว่าเจอข้อหาอะไรกันบ้าง ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไรในชะตาชีวิตของแต่ละคน จะนอนก็นอนไม่หลับ ในห้องขังได้เอาเสื้อยึดของตัวเองมาหุ้มหมอนเก่าๆ ที่ถูกทิ้งไว้ มีผ้าขาวม้าปูพื้นของคนที่ถูกขังก่อนหน้านี้ทิ้งไว้ ในห้องขังแสงไฟเปิดตลอดเวลา เมื่อมองออกไปนอกห้องขัง เห็นเพื่อนร่วมชะตากรรม บางคนนั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์บ้าง มีคนเดียวที่นอนหลับแถมกรนเสียงดัง เวลาในคืนนั้นช่างนาวนานเหมือนโลกมันไม่หมุนเลย ทุกอย่างเงียบสงัด เรื่องราวต่างๆ ที่ทหารและตำรวจเล่าให้ฟังว่าห้องขังแห่งนี้มีสิ่งลี้ลับ ที่แต่ละคนได้เผชิญต่างกันไป แต่คืนนั้นเราก็ไม่พบอะไร

เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจมาเรียกให้เราเตรียมตัวเพื่อไปศาลทหาร เรามองเพื่อนคนอื่นๆ ว่าพวกเขาจะได้ไปกันเมื่อไหร่ วันไหน ซึ่งต่างคนต่างไม่ทราบชะตากรรมกันเลย
เมื่อเราเตรียมพร้อม ออกจากห้องขัง และไปพบนายตำรวจและนายทหารที่ห้อง นายทหารบอกว่าให้เราเขียนจดหมายถึงหัวหน้า คสช. ซึ่งทุกคนขณะนั้นต้องเขียน แต่เนื้อหาในจดหมายเป็นเรื่องของเราเองที่อยากจะเขียน ทหารบอกว่าต้องการนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้หัวหน้า พร้อมเตรียมกระดาษและซองให้เรียบร้อย เราตัดสินใจเขียนจดหมาย 1 หน้า และส่งให้นายทหารท่านนั้นก่อนไปศาลทหาร
การเดินทางไปศาลทหารนั้น ทหารได้ควบคุมตัวขึ้นรถทหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถแบบนี้ รู้สึกแปลกๆ โดยตำรวจบอกด้วยว่าไปศาลทหารเพื่อขอฝากขัง เมื่อเสร็จขั้นตอนที่ศาลทหาร ตำรวจและทหารจะใช้รถตำรวจพาตัวไปที่เรือนจำเพื่อรอหมายปล่อยตัวชั่วคราวจาก ศาลทหาร
ในระหว่างที่อยู่ในรถ ทหารที่คุมตัวมาได้รับโทรศัพท์ ทหารคนนั้นพูดว่า “นายครับคนนี้เรียบร้อยดี วันนี้ยังไม่ต้องไปพบนายเดี่ยวผมจะพาไปอีกวัน”

ก่อนจะเข้าเรือนจำ ทหารคนเดิมบอกว่าในการรายงานตัวที่ศาลทหารในครั้งหน้า จะพาตัวไปคุยกับนาย (เข้าใจว่าน่าจะเป็นนายทหารระดับสูงท่านหนึ่ง)
ขั้นตอนต่างๆ ในเรือนจำเราถูกปฏิบัติเหมือนนักโทษทั่วไปไม่มีความแตกต่าง เพราะเราถูกมองเป็นนักโทษที่มีความผิดร้ายแรงไปซะแล้ว!!!
เรากลายเป็นอาชญากรที่ทำประวัติบันทึกไว้ในเรือนจำแห่งนี้ไปแล้ว
- แอนน์ แฟรงค์  

กลับไปอ่านตอนที่ 1

Read More »