Saturday, September 27, 2014

เกาะสวรรค์ด้านมืด

Lilly Smitt added 3 new photos.
11 hrs · 
 

เกาะสวรรค์ด้านมืด : ข้อมูลดิบจากฝรั่งที่เคยอาศัยบนเกาะเต่า ต่อกรณีการฆาตกรรมโหดสองหนุ่มสาวชาวอังกฤษ

คดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คบนเกาะเต่าทำให้ด้านมืดของประเทศไทยตก เป็นเป้าสนใจจากนานาชาติไปโดยไม่ต้องการ อันรวมถึงการใช้อิทธิพลของครอบครัวมาเฟียบนเกาะต่างๆ ในอ่าวไทย อาทิ เกาะพงัน เกาะเต่า และเกาะสมุย

จากการที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะเต่าและเกาะพงัน ผมมีความรู้ลึก (แต่ก็อ้างไม่ได้ว่ารู้หมด) ต่อความเป็นไปต่างๆ พอควรที่จะบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มากกว่าที่สื่อนานาชาติพยายามจะอธิบายต่อชาวโลก ดังเช่นว่าอะไรทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น มันมักดูยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่ปรากฏในเบื้องต้นอยู่เสมอ

มาดูประวัติเกาะเต่ากันหน่อย

ส่วนใหญ่ในความเป็นมาของเกาะเต่าไม่มีอะไรเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้มากนัก มันเป็นจุดพักเรือของชาวประมงมาเลย์มานานหลายศตวรรษ เนื่องจากที่ตั้งอันห่างไกลโพ้นในอ่าวไทย ในยุคศตวรรษที่ ๑๘ อาจมีหมู่บ้านตั้งอยู่สักสองแห่ง จนเมื่อราวปี ค.ศ. ๑๘๙๐ กว่าๆ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินเกาะนี้ ดังมีอนุสาวรีย์ของพระองค์ตั้งอยู่บนหาดทรายรี เกาะนี้สงบเงียบต่อมาเป็นเวลาหลายสิบปี มีแต่ครอบครัวชาวประมงและชาวไร่อาศัยอยู่บ้าง ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ประเทศเปลี่ยนจากสมบูรณายาสิทธิราชไปสู่ราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ (หรือเรียกว่าระบอบรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขละมัง) เกาะเต่าถูกใช้เป็นสถานที่จองจำทางการเมืองในลักษณะเดียวกับเกาะตะรุเตาทาง ตอนใต้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ พวกนักโทษที่นั่นได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วส่งออกไปอยู่ตามเกาะต่างๆ ในละแวกนั้น ได้แก่เกาะพงันและเกาะสมุย เกาะเต่าจึงกลายเป็นเกาะร้างอีกครั้ง

ตำนานเล่าว่ามีพี่น้องสองคนเดินเรือมาที่เกาะนี้แล้วลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ ตรงพื้นที่เรียกว่าทรายรีปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายจับปลาหากินและทำการเพาะปลูกเลี้ยงชีพ มีการค้าขายบ้างเล็กน้อยกับผู้ที่อยู่อาศัยบนเกาะพงัน

เมื่อเกิดสงครามเวียตนามทำให้กิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยบูมขึ้นมากมายใน ช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ ถึง ๑๙๗๐ ด้วยผลพวงจากทหารจีไอและโครงการอาร์แอนด์อาร์ (Rest and Relax) พวกนักเดินทางสะพายย่าม (Backpackers) เริ่มแห่กันเข้าไปสู่อ่าวไทย มีรายการท่องเที่ยวดำน้ำออกจากเกาะสมุยและเกาะพงัน งานรื่นเริง‘ฟูลมูนพาร์ตี้’ ที่เลื่องชื่อเริ่มขึ้นครั้งแรกที่เกาะพงันในปลายยุคทศวรรษ ๑๙๘๐ นับแต่นั้นมาการท่องเที่ยวบนเกาะเต่าขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมไปกับการพัฒนาสิ่งก่อสร้าง เริ่มจากร้านรวงตั้งเป็นเพิงง่ายๆ ขายของ กับซุ้มเล็กๆ สำหรับพวกนักดำน้ำ มาสู่บาร์เหล้า รีสอร์ท และธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวกับกีฬาดำน้ำโดยตรงอีกหลากหลาย

บริษัทเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่เช่น ลมพระยา ซีทราน และส่งเสริม เริ่มเปิดบริการจัดรถบัสออกจากกรุงเทพฯ รับส่งผู้คนไปสู่เกาะ สำหรับการกีฬาดำน้ำที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบนเกาะเต่า พื้นที่สองแห่งมีการพัฒนาตามมาอย่างกระชั้นชิดเช่นกันทั้งในบริเวณหาดทรายรี (ซึ่งเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยไน้ท์คลับ รีสอร์ท และสถานดำน้ำ) กับแถบโฉลกบ้านเก่า ท้องที่ไม่อึกทึกอีกด้านหนึ่งซึ่งคนท้องที่อยู่อาศัยกัน เช่นเดียวกับบริเวณท่าเทียบเรือแม่หาด

โครงสร้างอำนาจบนเกาะ

เหมือนดังภาพลักษณ์ของเมือง หมู่บ้าน หรือเกาะทั้งหลาย ที่ครอบคลุมด้วยระบบจ้าวพ่อชนิดที่ในโลกตะวันตกเรียกว่า ‘มาเฟีย’ อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกลบวกกับภูมิหลังของเกาะ ทำให้มีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดคิด

จากการอาศัยอยู่บนเกาะเป็นเวลาพอควร หรือได้คุยกับคนที่อยู่ในท้องที่มานาน ในสถานการณ์ปกติเขาจะเล่าถึง ๕ ตระกูลที่ลงหลักปักฐานอยู่บนพื้นที่แห่งนี้ สามตระกูลในนี้ควบคุมเหนือพื้นที่หาดทรายรี อีกสองตระกูลมีอิทธิพลอยู่ทางหาดโฉลกอีกด้านหนึ่งของเกาะ ตระกูลเหล่านี้สืบเชื้อสายจากพวกร่อนเร่ที่ขึ้นไปบนเกาะตั้งแต่ยุค ค.ศ. ๑๙๔๐ ถึง ๑๙๘๐ ก่อนที่กิจการดำน้ำท่องเที่ยวจะเข้าไป แม้นว่าพวกเขาจะไม่ใช่เจ้าของที่ดิน (ในทางเท็คนิคที่ดินทั้งหมดบนเกาะเป็นของพระมหากษัตริย์ภายใต้การดูแลของกรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) แต่ก็มีสิทธิในฐานะผู้บุกเบิกถือครองในอันที่จะเรียกเก็บค่าเช่าและจัดสร้าง ธุรกิจขึ้นในเส้นทางของตนได้ ค่าเช่าเล็กน้อยจ่ายให้แก่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในอัตราต่อ ไร่ (มาตราวัดพื้นที่ของไทยอย่างหนึ่ง)

ครอบครัวเหล่านี้ควบคุมหรือมีผลประโยชน์อยู่กับธุรกิจเกือบทุกอย่างบนเกาะใน ทางใดทางหนึ่งสุดแท้แต่จะเป็นรูปแบบหรือขนาดใด อาจจะเป็นเจ้าของโดยตรง เป็นหุ้นส่วนนอมินี่ เป็นเจ้าของที่ หรือเป็นผู้อำนวยวัตถุดิบและอุปกรณ์รายหลักของเกาะ ไม่มีธุรกิจใดๆ บนเกาะ ไม่ว่าไทยหรือฝรั่งตั้งอยู่ได้โดยไม่มีสายใยกับการครอบคลุม คุ้มครอง และเชื่อมยึดจากครอบครัวเก่าแก่ของเกาะตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
ตระกูลเหล่านี้จะตีวงล้อมปกป้องทรัพย์สินของตนอย่างโจ่งแจ้ง อะไรที่สามารถทำได้บนหาดแห่งหนึ่งอาจถือว่าเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ได้ใน อีกท้องที่หนึ่ง คนเก่าแก่อาจได้รับการปกป้องอย่างดีในบาร์แห่งหนึ่ง แต่จะไม่คิดที่จะเข้าไปยังอีกแห่ง เนื่องจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจ มิตรภาพ และอื่นๆ ที่คนในสถานที่นั้นมีกับตระกูลอิทธิพลบนเกาะ

ครอบครัวแบบไทยๆ ดั้งเดิมเหล่านี้มักจะอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน และมักแก่งแย่งช่วงชิงทางธุรกิจอย่างหนักหน่วงเพื่อเงินดอลลาร์ของนักท่อง เที่ยว มีเรื่องเล่ามากมายบนเกาะถึงความตึงเครียดที่ครอบครัวหนึ่งคิดว่าพวกตนถูก หักหาญจากอีกครอบครัวหนึ่งในทางใดก็ตาม ส่วนมากมักเกี่ยวโยงกับความขัดแย้งแต่เพียงเล็กน้อยเรื่องเงินทอง

แหล่งอำนาจอิทธิพลบนเกาะอีกส่วนหนึ่งอยู่กับพวกตำรวจซึ่งมีที่ทำการอยู่ใน อาคารหลังโรงเรียนและวัดบนท้องที่แม่หาดสุดทางด้านหนึ่งของหาดทรายรี การเรียกพวกนี้ว่าผู้บังคับใช้กฏหมายนั้นถือว่าให้เกียรติอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาปฏิบัติการเยี่ยงองค์กรมาเฟียเสียมากกว่า (จะเรียกว่าเป็นครอบครัวที่หกก็ได้)

งานพิทักษ์สันติราษฎร์ของพวกเขาคือวันๆ ขับรถสกู๊ตเตอร์ไปรอบๆ เกาะเที่ยวเก็บส่วยมาจากกิจการค้าขายในท้องที่แล้วเอาไปใช้ดื่มกินหาความ สำราญกันในตอนค่ำ ควรจะบันทึกไว้ในที่นี้ด้วยว่าตำรวจในประเทศไทยเขาซื้อขายตำแหน่งกัน การจะได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในท้องที่ท่องเที่ยวนั่นต้องเสียเงิน เสียทอง เพราะคนไทยคิดว่าการได้เป็นหัวหน้าใหญ่คือโอกาสทองทางธุรกิจ ถามคนท้องที่ได้เลยว่าราคาสำหรับการเป็นผู้บังคับการตำรวจท้องที่พัทยา ภูเก็ต และสมุยน่ะเท่าไร พื้นที่ท่องเที่ยวเหล่านี้จะมีรายได้พิเศษมหาศาลจากการเก็บเกี่ยวเอากับ กิจการธุรกิจ

“ถ้าหากมีมาเฟียในท้องที่จริง พวกเจ้าหน้าที่และตำรวจสืบสวนจะต้องแจ้งให้ผมทราบแล้วละ” เป็นคำกล่าวว่าไว้โดย พล.ต.อ.สมยศ (พุ่มพันธ์ม่วง)

บาโรมิเตอร์วัดคอรัปชั่นโลกปี ๒๕๕๐ ขององค์การโปร่งใสนานาชาติ อันมาจากการสำรวจความเห็นของคนใน ๖๐ ประเทศต่อปัญหาการคอรัปชั่น รายงานว่า สำหรับประเทศไทย ตำรวจได้รับคะแนนถึง ๔ จาก ๕ โดยที่ ๑ คะแนนหมายถึงคอรัปชั่นน้อยที่สุด และ ๕ คะแนนเป็นคอรัปชั่นขั้นร้ายแรง - ข้อมูลวิกิพีเดีย

ยาเสพติดบนเกาะ

ยาเสพติดเป็นสิ่งปกติและหาได้ง่ายบนเกาะ และก็เหมือนสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายบนเกาะนี้ที่มีครอบครัวตำรวจเข้าไปเอี่ยวด้วย ตอนข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นได้เห็นคนใช้ยาเสพติดกันอย่างแพร่หลาย กัญชา แอลเอสดี ยาบ้า (ชื่อในภาษาไทย อันเป็นส่วนผสมของเมตาฟีตามีนกับคาเฟอีน) และแปลกมากที่มีโคเคนด้วย โคเคนเป็นยาเสพติดที่เจ้าของบาร์บนหาดทรายรีใช้กันมากเมื่อตอนผมไปอยู่ที่ เกาะเต่าช่วงนักท่องเที่ยวน้อย มันทำให้เกิดอาการหุนหันชนิดคาดเดาไม่ได้เลย ผู้เสพจะได้แรงกระตุ้นขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดทันควัน จนอาจก่ออันตรายร้ายแรงได้ในชั่วพริบตา

คนที่อยู่มานานจะรู้ดีว่าสภาพการติดยาบนเกาะมีมากขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เสพเองหรือว่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คราใดเมื่อตำรวจเริ่มจะขาดแคลนเงินสด ก็มีการตั้งด่านตรงทางไปอ่าวลึกและทางเข้าบ้านทรายรีตอนเหนือ ตรงนี้เป็นที่ซึ่งคนต่างชาติหน้าใหม่มักถูกจับฐานมีกัญชาในครอบครองนิดหน่อย บ้างถูกตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด จุดหมายของตำรวจไม่ใช่การจับกุมเพื่อดำเนินคดีกับคนต่างชาติในข้อหามียาเสพ ติดในครอบครอง แต่ต้องการใช้ข้อหาทางอาญาข่มขู่ให้สยบต่อการตบเงินตามมา

เมื่อพบปริมาณยาเสพติดมากพอก็จะมีการตั้งข้อหาทางอาญา แล้วให้มีการประกันตัวออกไป จากนั้นทนายจะเป็นผู้จัดการประสานเรื่องการจ่ายค่าปรับจำนวนสูงเพื่อให้หลุด จากข้อหา ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจะได้รับส่วนแบ่งของตนไป ตอนผมอยู่ที่นั่นได้เห็นด้วยตนเองว่านักธุรกิจไทยในท้องที่คนหนึ่งขู่จะเอา ยาเสพติดยัดใต้เบาะรถจักรยานยนตร์แล้วเรียกตำรวจมาจับกุมฝรั่งคนหนึ่งที่ถูก หาว่าไปกล่าวร้ายเขา

โกงค่าเช่าจักรยายยนตร์

วิธีการโกงที่เลวร้ายอย่างหนึ่งบนเกาะเต่า (เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในอ่าว) เกี่ยวข้องกับการเช่าใช้จักรยานยนตร์ของนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติ ซึ่งผู้เช่าจะต้องวางพาสปอร์ตของตนไว้กับเจ้าของจักรยานเป็นหลักประกัน แต่การยึดพาสปอร์ตเป็นหลักประกันนั้นผิดกฏหมายในประเทศไทย แม้ในบางประเทศมีกฏหมายเอาผิดที่เจ้าของพาสปอร์ตนำไปใช้เป็นหลักประกันด้วย แต่กระนั้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็ยอมทำกัน จะเป็นด้วยรู้เท่าไม่ถึงการก็สุดแท้แต่

จักรยานที่ส่งคืนโดยมีรอยชำรุด จะมากน้อยอย่างไร ความเสียหายจากรอยบุบแตกอาจจะเพียง ๓๐๐ บาท ผู้เช่าก็ต้องจ่ายให้แก่เจ้าของในอัตรา ๓ พันถึง ๑ หมื่นบาท ไม่ว่าจะเป็นผลของการดื่มสุรามากไป สภาพถนนเลวร้าย คนขับแท็กซี่บ้าบอปาดเอา แสงไฟบนหนทางไม่เพียงพอในยามค่ำคืน ล้วนทำให้เกิดอุบัติเหตุในการใช้มอเตอร์ไบ๊ค์ทั้งสิ้น

นักท่องเที่ยวมักจะตื่นตระหนกเมื่อเกิดการชน และรีบร้อนเกรงจะพลาดเรือเฟอรี่ จึงตกเป็นเหยื่อเจ้าของกิจการให้เช่าจักรยานใช้อำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตาม ใจ ใครขืนเถียงกับเจ้าของร้านเช่าอาจถูกข่มเหงทางกายได้ มีตัวอย่างรายงานเหตุการณ์โดยทริปแอ๊ดไว้เซอร์ว่าถูกเจ้าของร้านแห่งหนึ่ง ชักปืนขู่เอาด้วย

เกาะเต่ายังคงให้เช่ารถเอทีวีสี่ล้อซึ่งมีอันตรายในการขับขี่สำหรับนักท่อง เที่ยวที่ไม่มีประสพการณ์ ทั้งที่ตามเกาะอื่นๆ ในอ่าวเลิกให้เช่ากันไปแล้วเนื่องจากสถิติอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้น จักรยานยนตร์เหล่านี้ไม่มีประกันภัย (แม้จะโฆษณาว่ามีก็ตาม) ผู้เช่าขี่ที่ใช้ใบอนุญาติขับขี่นานาชาติ รวมทั้งใบขับขี่จักรยานยนตร์ ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองโดยประกันภัย

กับที่บนเกาะอื่นๆ อาจได้รับลดหย่อนค่าเสียหายถ้ามีตำรวจเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่ว่าตำรวจก็จำต้องได้ส่วนตัดของตนเหมือนกัน

อาชญากรรมร้ายแรงบนเกาะ

โดยทั่วไปแล้วบนเกาะปลอดภัยไม่น้อยทีเดียว เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายที่พวกครอบครัวอิทธิพลและจ้าวพ่อท้องถิ่น มีส่วนทำให้เกิดความสงบขึ้นได้เหมือนกัน เท่าที่ผมทราบมีเหตุการณ์ร้ายสองสามครั้งเกิดขึ้นบนเกาะ

- เจ้าของบาร์รายหนึ่งถูกยิงตายบนหาดทรายรี ตอนกลางคืนในที่สาธารณะต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากความขัดแย้งกันเรื่องธุรกิจ บาร์แห่งนั้นมีเจ้าของใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการและเปลี่ยนชื่อ แล้ว ไม่มีใครถูกจับกุมจากเหตุยิงกันตายครั้งนี้ ผู้ต้องหาเป็นคนยิงก็ยังเปิดกิจการบาร์อยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะ

- ราวปี ๒๕๔๕ นักธุรกิจผู้มีอิทธิพลมากคนหนึ่งของเกาะ เป็นน้องชายเจ้าของกิจการโรงเรียนดำน้ำใหญ่ (บ้านดำน้ำ โรงเรียนสอนดำน้ำใหญ่ที่สุดในโลก) ถูกยิงตายกลางย่านทรายรีจากกรณีพิพาทในครอบครัว นี่เป็นสถานที่ใกล้เคียงกับร้านที่ สก็อต ฌอน แม็คเอ็นน่า เข้าไปซ่อนตัวจากชายไทยสองคนที่ตามล่าเขาในการข่มขู่หลังเกิดการฆ่าสาวหนุ่ม ชาวอังกฤษอนาถ
เหตุยิงกันตายครั้งนี้เช่นกันไม่มีการจับกุมใดๆ ทั้งที่คนท้องที่หลายคนบอกว่ารู้ตัวคนยิงดี เหตุการณ์ผ่านมาแล้วหกปีดูเหมือนว่าศพผู้ตายยังอยู่ในห้องเย็นรอวันทำพิธี เผา มีรายงานเรื่องนี้ในบางกอกโพสต์ แต่ว่าขณะนี้ไม่สามารถเปิดอ่านได้แล้ว
(ขอเว้นรายละเอียดข่าวจากบางกอกโพสต์)

- คนขับแท็กซี่แทงแท็กซี่ด้วยกันตายกลางวันแสกที่แม่หาดหลังจากที่ฝ่ายหนึ่ง ถูกหาว่าแย่งผู้โดยสาร ไม่มีการจับกุมคนร้าย กิจการแท็กซี่ที่นี่ควบคุมโดยสองครอบครัวอิทธิพลของเกาะ ที่ไม่ยอมให้มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รวมทั้งไม่มีใครกล้าเปิดกิจการแข่งขัน ค่าแท็กซี่ที่นี่จึงแพงหูฉี่

- ยังมีเรื่องเล่ามากมายว่าบาร์หลายแห่งถูกเผาเหลือแต่ซากจากความอิจฉาของคู่ แข่ง หรือเจ้าของที่ไม่พอใจ งานเลี้ยงถูกเอาปืนจี้สั่งยุติโดยเจ้าของร้านคู่แข่งที่ไม่มีลูกค้า เจ้าของกิจการบางคนถูกชักปืนไล่ให้ออกไปจากเกาะดื้อๆ

ยังมีเรื่องทะเลาะระหว่างคนไทยด้วยกันโดยเหตุชู้สาว ชายที่ไปยุ่งกับเมียคนอื่นถูกควักปืนไล่ยิง เหล่านี้มักเกิดในบริเวณห่างออกไปจากย่านรีสอร์ท

ในขอบข่ายของการฆาตกรรมล่าสุด

ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาปรากฏรายละเอียดเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนออกมามากมาย

๑. นักท่องเที่ยวคู่ชายหญิงสองคนถูกฆ่าตายบนหาดหน้าบาร์ที่เจ้าของเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ของเกาะคนหนึ่ง โดยใช้เครื่องมือที่ไม่ใช่ของนักธุรกิจไทยหรือคนงานพม่าเป็นอาวุธ

๒. ตำรวจท้องที่ให้สัมภาษณ์ว่าคนไทยไม่ทำอย่างนี้แน่ (ทั้งที่มีนักโทษในคุกเพราะคดีแบบเดียวกันมากมายจากการพิพาทระหว่างไทยกับ ไทย) แล้วพยายามที่จะป้ายโทษให้กับเพื่อนสนิทของผู้ตายและคนงานพม่า

๓. พนักงานตำรวจลงภาพของผู้ตายบนหน้าเฟชบุ๊ค ปรากฏภาพของคนที่ถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมไปเดินยุ่มย่ามใน บริเวณที่เกิดเหตุ อันอาจทำให้หลักฐานเสียไป

๔. สื่อปล่อยเนื้อหาเกี่ยวกับคดีออกมา พร้อมทั้งชี้ช่องไปในทางกล่าวหาเพื่อนของผู้ตาย อ้างว่าเขาเป็นคนรักร่วมเพศของผู้ตายฝ่ายชาย และยังเขียนข่าวกล่าวร้ายต่างๆ นานา ขณะที่ตำรวจก็นำกางเกงเปื้อนเลือดของผู้ตายไปใส่ในกระเป๋าหิ้วปรักปรำเขา

๕. นายกรัฐมนตรีเข้ามาจัดการบ้าง ด้วยการกล่าวอ้างผู้ตายฝ่ายหญิงเป็นคนสวยนุ่งบิกินี่ล่อแหลม ทั้งที่การฆาตกรรมเกิดในยามค่ำคืน และวิดีโอจากงานปาร์ตี้ก่อนเกิดเหตุแสดงว่าเธอนุ่งห่มมิดชิดรัดกุม

๖. ผู้อาศัยบนเกาะมาเป็นเวลานานคนหนึ่ง (สก็อต แม็คเอ็นน่า) ซึ่งเป็นเพื่อนของเหยื่อสังหารเพศชาย กล่าวหาครอบครัวท้องถิ่นรายหนึ่งว่ามี ส่วนพัวพันในการฆาตกรรม (เขาไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ลงมือกระทำ) แล้วขู่จะจับเขาแขวนคอ หมายใช้ตัวเขาเป็นแพะรับบาป เขานำเรื่องลงในโซเชียลมีเดียหมายใจให้แชร์กันออกไปอย่างกว้างขวางด้วยการ บอกว่า ถ้าพบว่าเขาต้องตายในคืนนั้นละก็ คนเหล่านี้แหละที่เป็นผู้ลงมือ ชายไทยที่ถูกอ้างยอมรับอย่างเปิดเผยว่าได้พูดกับสก็อต และข่มขู่เขาจริง แต่เนื่องจากเขามีฐานะเป็น‘ผู้ใหญ่’ ของเกาะ อีกทั้งเป็นเพื่อนกับตำรวจ จึงหลุดคดีไปโดยง่าย แถมไม่ต้องถูกตรวจดีเอ็นเออีกด้วย

๗. ตำรวจยังคงทำการสอบสวนอย่างมั่วซั่วต่อไป รวมทั้งจำลองเหตุการณ์ในเวลากลางคืน มีการวัดขนาดรอยเท้าหญิงชาวพม่า กับนำปัสสาวะชายพม่าไปตรวจ

๘. มีการดำเนินการต่างๆ ในทางลับ แล้วผู้ที่ถูกตั้งข้อสงสัยโดยชาวตะวันตกถูกนำตัวไปสถานีตำรวจ แต่พวกนี้ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับการตรวจดีเอ็นเออยู่ดี

๙. พวกญาติของคนที่ฌอนกล่าวหาว่าขู่ฆ่าเขาพากันเข้ากรุงเทพฯ สื่อไทยอาจรายงานว่าเป็นผู้ต้องหา แต่ตำรวจท้องที่แย้งว่าไม่ใช่ เขาแค่ไปมหาวิทยาลัย นี่เกิดขึ้นเมื่อควรที่จะห้ามคนเข้าออกจากเกาะ

๑๐. มีข้อความลงไว้ตามหน้าเฟชบุ๊คเตือนคนต่างชาติไม่ให้เล่าเรื่องราวใดๆ กับสื่อ หรือพูดกับคนภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาติจากครอบครัวชาวเกาะ การแสดงความคิดเห็นถูกลบหรือเซ็นเซอร์ ดูเหมือนจะมีกำแพงแห่งความเงียบโผล่ขึ้นมาไม่ว่าเพื่อความปลอดภัยส่วนตัว หรือไม่ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์

๑๑. มีรายละเอียดเรื่องราวผุดขึ้นในหน้าเว็บต่างๆ ดังเช่นThaivisa.com เพื่อลบล้างความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับฆาตกรรม และโจมตีต่อความน่าเชื่อถือของพยานรู้เห็นคนเดียวที่เหลืออยู่

๑๒.ปรากฏว่าประวัติของพยานเบื้องหลังครั้งอยู่ในยุโรปไม่ค่อยจะดูดีเท่าไรนัก ตามที่มีรายงานในหนังสือพิมพ์ของสก็อตแลนด์

๑๓. ครอบครัวที่ถูกกล่าวหาหลุดคดีได้โดยการตรวจดีเอ็นเอซึ่งใช้เวลานานอย่างเป็น ประวัติการณ์ (ต้องคำนึงถึงว่าใช้เวลาสามชั่วโมงในการนั่งเรือไปเกาะเต่า แล้วอีก ๙ ชั่วโมงขับรถเข้ากรุงเทพฯ ยังสถานที่ตั้งสำนักนิติเวชวิทยา ไม่เช่นนั้นต้องนั่งเรือสามชั่วโมงไปเกาะสมุย กับหนึ่งชั่วโมงโดยเครื่องบินเข้ากรุงเทพฯ นี่เป็นเวลาไม่รวมถึงที่ใช้ในกรรมวิธีตรวจดีเอ็นเอจริงๆ
ถึงจุดนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมเป็นอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพูดได้ว่าที่ไหนมีควันที่นั่นก็ต้องมีไฟ ผมเองไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นเพราะผมอยู่ไกลในอีกซีกโลกหนึ่ง แต่จากประสพการณ์ที่ผ่านพบมาบนเกาะเต่า ผมมีเหตุสงสัยอย่างแรงกล้าว่าครอบครัวเจ้าที่กับตำรวจในท้องถิ่นต้องการที่ จะล้มการสอบสวนคดี พยายามปกปิดข้อเท็จจริง และเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อนานาชาติ แล้วก็จะมีการจับแพะชาวพม่าขึ้น ตำรวจเกือบจะยอมรับเช่นนี้ออกมาแล้ว

“โปรดให้ความมั่นใจในการทำคดีของเรา จะไม่มีแพะรับบาปเด็ดขาด”
“คดีนี้ถูกจับตาใกล้ชิดจากทั่วโลก เราดำเนินการอย่างขันแข็งเพื่อที่จะไม่ให้เกิดการรั่วไหลอย่างมากที่สุด” พล.ต.ท. ปัญญา (มาเม่น) กล่าว*

ผมในส่วนตัวเชื่อฌอน แม็คเอ็นน่า เมื่อเขาบอกว่าถูกข่มขู่โดยคนไทยท้องที่ ผมได้อ่านข้ออ้างต่างๆ บน ‘ไทยวีซ่าดอทคอม’ ที่ว่าการข่มขู่จะแจ้งเกินไป และการใช้ภาษารื่นหูเกินกว่าคนไทยจะทำได้ เกาะเต่าไม่เหมือนที่อื่นๆ ในประเทศไทย คนท้องที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าที่ไหนในโลกเท่าที่ผมเคยเห็นมา ประวัติลายพร้อยของเขาอาจทำให้ไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก แต่ก็นั่นแหละ คนที่อยู่บนเกาะนานๆ จำนวนไม่น้อยก็มีเบื้องหลังที่ไม่ได้สดสวยอะไรนัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับตาดูอยู่แล้ว ตำรวจประกอบคดีด้วยการพุ่งเป้าไปที่นักเล่นกิตาร์ เกี่ยวพันถึงชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งชนิดเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนไทยเกี่ยวด้วย

ผมคิดว่าถ้าหากฌอนไม่ได้โวยวายขึ้นมาเสียก่อน เขาอาจจะต้องตาย หรือถูกป้ายความผิดทั้งหมดให้ ความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมไทยของผมเป็นศูนย์ต่อการที่ตำรวจของเกาะจะ สามารถคลี่คลายคดีได้
ผมเสียใจต่อการที่เหล่าชาวต่างชาติ (เอ็กซ์แพท) ซึ่งอาศัยอยู่อย่างถาวรบนเกาะพากันตั้งกำแพงความเงียบเสียหมด แต่ว่าผมก็เข้าใจนะว่าเพราะอะไร หลายคนเจอปัญหากับกฏหมายมาก่อนในอดีต ส่วนใหญ่เกี่ยวกับยาเสพติด แล้วตำรวจก็ใช้ชนักอันนี้นี่เองเป็นอาวุธไว้จัดการกับพวกนี้ในวันหน้า อีกหลายคนมีผลประโยชน์ทางธุรกิจอยู่ขณะที่วีซ่าไม่เรียบร้อย บ้างขัดข้องที่หุ้นส่วนตัวแทน หรือเจ้าของที่ดิน พวกเขาอาจต้องเสียธุรกิจไป หรือพ้นจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ชื่นชอบ เพียงเพราะพูดความจริงออกมา บางคนอาจถูกเนรเทศเพราะวีซ่าขาด หรือถูกปรับเพราะจ้างแรงงานต่างด้าว หรือถูกจับด้วยข้อหาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาติ

ก็ยังมีบางสิ่งในเรื่องอื้อฉาวครั้งนี้ที่ไม่ลงรูปเข้ารอยดีนัก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนในตระกูลอิทธิพลจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องเสียหายอย่าง นี้ หรือว่ามีความอำมหิตกับการสังหารคนอย่างเลือดเย็น ดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้ในข้อเท็จจริง เป็นที่รู้กันว่าผู้ชายไทยมักเกิดอารมณ์ร้ายชั่ววูบ แต่นี่เป็นเรื่องเสียหน้าขนาดหนัก คนเหล่านี้ (โดยเฉพาะพวกนักธุรกิจที่มีเส้นสายใหญ่โต แม้ว่าจะสืบเชื้อมาจากคนพเนจรก็ตาม) จะหน้ามืดขนาดข่มขืนแล้วฆ่านักท่องเที่ยวสองคนได้ ทั้งที่กิจการทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขา

ผมยังมีข้อกังขาอย่างหนักว่าคนที่ลงมือกระทำจะหลุดคดีไปได้โดยง่าย และจะไม่มีใครถูกจับกุมเนื่องจากความเกี่ยวพันในคดี แต่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งถูกจับได้ แล้วไปซ้อมอย่างสะบักสะบอมให้รับสารภาพ ด้วยความสนใจจากนานาชาติ ตำรวจท้องที่ไม่อาจเสียหน้าหากไม่สามารถคลี่คลายคดีได้ และเชื่อได้เลยว่าความยุติธรรมจะไม่บังเกิด

อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไป แต่เป็นที่ทราบกันว่าพวกแบ็คแพ็คเกอร์จะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก หลายคนคิดว่าเอาตัวรอดด้วยตนเองได้เสมอ และจะไม่เกิดกับตน ครั้นเมื่อถึงฤดูท่องเที่ยวครั้งต่อไป อะไรต่ออะไรกลับไปเป็นปกติได้แล้ว

เหมือนดังทุกแห่งในประเทศไทย นักท่องเที่ยวควรจะใช้ความระมัดระวังขณะสนุกสนาน และต้องระวังอย่างมากเมื่อเข้าใกล้ชายไทยถ้าหากมีเรื่องยาเสพติด แอลกอฮอล และผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการบังเอิญเกิดยาก แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้บนเกาะแห่งนี้ ที่ซึ่งการตายอย่างน่าสงสัยมักได้รับการรายงานว่าเกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ หรือฆ่าตัวตาย

ไม้ค์อี คอมเม้นต์ วันที่ ๒๕ กันยายน ๕๗ เวลา ๘.๑๙ น.

ด้วยความสัตย์นะ ประเทศไทยยังปลอดภัยด้วยประเด็นนั้น ผมรู้สึกว่าปลอดภัยเมื่ออยู่เมืองไทย ๘ เดือนมากกว่าเมื่อเดินเล่นในบริเวณสถานบุกเบิกที่ซานดิเอโก รายล้อมไปด้วยพวกบ้าบอ
และนั่นหลังจากใช้เวลาหลายเดือนอยู่ท่ามกลางกองกำลังติดอาวุธจากภาคใต้ทำการ ประท้วงต่อประชาธิปไตย แถมมีมือปืนติดอาวุธหนักเข้าไปค้นบ้านผมบนเกาะพงัน แล้วยังมีพวกมาเฟียนักปั่นจักรยานจากยะลาเข้าไปอยู่บ้านติดกันกับผม
แต่มันไม่ใช่แดนแห่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เป็นมิตรอีกเช่นกัน มันกลายเป็นแถบหนึ่งของสีเทาไปเสียแล้ว
* หมายเหตุ ล่าสุดท่านผู้การสามารถสืบสอบได้เบาะแสแล้วว่า มือฆ่าคงเป็นต่างชาติ ไม่ใช่ไทยhttp://englishnews.thaipbs.or.th/key-witness-says-foreigner-kills-british-tourists/
Read More »

เรื่องทหารจับบ่อนดราม่า

  ความจริงที่ต้องแฉ...เรื่องทหารจับบ่อนดราม่า ..เป็นนิยายรวมหัวเมคกันล้วนๆ 

  เมื่อเสธพีท (พ่อเป็นนายพลตำรวจ มีลุงเป็นอดีตทหารใหญ่ชื่อ พลเอกสำเภา ชูศรี )เสธพีทรู้ว่าทหารกำลังกร่าง ตัวมันอยากทำผลงานเพื่อหาตำแหน่งขึ้นหน่วยคอมมานด์ ตั้งแต่มีรัฐประหารมา สถานบันเทิง เจ้าของบ่อน พ่อค้าหวยเถื่อนและสารพัดคนทำธุรกิจใต้ดิน ก็วิ่งส่งส่วยทหารจนอิ่มเปล้ เมื่อเงินทองไหลมาเทมา 

   เสธพีทก็เลยคิดไอเดียบรรเจิดโปรโมทตัวเองขึ้นตำแหน่งหลัก เลยเรียกเจ้าของบ่อนมาคุยช่วย จัดสี แสง เสียง ให้เหมือนจริง พร้อมนักข่าวมาถ่ายรูปสักคน 

  เมื่อทุกอย่างพร้อม เสธพีทเดินกร่างแบบพระเอกสามารถนำกำลังไปจับบ่อนใหญ่ที่สุดได้ ปลื้มอยู่ได้วันแล้ว อ้าว.. อั้ยสลัสสส

  สุดท้ายความจริงก็โผล่เพราะไม่เนียน จับบ่อนยักษ์ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ้มซะขนาดนั้นดันไม่มีผู้ต้องหาสักคน เงินของกลางหายไปอีก ตอนแรกออกเสธทหารควายลืมไปออกข่าวจับบ่อนมีของกลางสามแสน เพื่อปลั๊บตำรวจ พอตำรวจถามเงินของกลางอยู่ไหน 

ปรากฎอ้าวมาโชว์แว่บๆไอ้เจ้าบ่อนเก็บไปแล้ว เลยไม่มีส่งตำรวจเค้า ตำรวจไปข้อค้นรูปน้องนักข่าว ไปพบภาพเด็ดเงินของกลางใหม่เอี่ยมยังสายรัดแบงค์อยู่เลย คงเพิ่งจากเบิกมาถ่ายทำกันสดๆ ลืมเอาสายรัดยางออก มีภาพในกล้องก่อนหน้านั้นที่เสธพีทนัดเจ้าของบ่อนไปคุยเรื่องให้ความร่วมมือ ใช้บ่อนเป็นโลเคชั่นถ่ายทำให้มันเป็นฮีโร่มีรูปออกทีวีตอนทหารบุกจับบ่อน สุดท้ายเรื่องแดง 

พอพวกนายๆตำรวจฟังเรื่องปั๊บ รู้เกมส์ลูกไม้ตื้นของเสธพีททันที่ 

เพราะจับบ่อนดร่ามาครั้งนี้ไม่มีการจับตัวผู้ต้องหาได้สักราย ตายห่าแล้วไอ้ควายพีท 

 มันบอกลูกน้องทหารถือปืนไปไล่จับแพะชาวบ้านมาส่งตำรวจเพื่อให้เข้ากับข้อ กฏหมาย เวร.. นอกจะโง่กว่าเดิมแล้วพีท.. เอ๋ยพีท มันยังไม่รู้ข้อกฎหมายการจับพนัน.. เขาเล่นการพนันกันเมื่อวาน มึงจะส่งลูกน้องไปถือปืนไล่จับเขาวันนี้ไม่ได้ 

การจับบ่อนต้องกระทำการซึ่งหน้า เสธพีทก็ช่างเหมือนนายนายกฯเหล่บิกินนี่เลยนะ ทำแต่งานที่ไม่ใข่หน้าที่ ว่างจากงานประจำที่กรม กอง เลยหาสร้างเรื่องโจ๊กทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ไม่ยอมให้เลือกตั้งทุกระดับ ไอ้เหล่คนจนปัญญา หูเบา เมาไมค์ได้เข้ามาแก้ปัญญามั่วซั่วโดยสั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจภาค 4 ย้ายผู้กำกับไปแล้ว.. นี่หละทหารไทยในกะลาแลนด์



 

Read More »

ความไม่พอเพียงของกษัตริย์ภูมิพล

คุยกับ อ.สุรชัย แซ่ด่าน 08 - ความไม่พอเพียงของกษัตริย์ภูมิพล


ชำแหละความไม่พอเพียงของกษัตริย์ภูมิพล ถึงความไม่พอเพียง ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ยัดเยียดให้ประชาชน วิพากษ์ประยุทธ จันทร์โอชา เผด็จการทหาร ใต้บัญชาการของกษัตริย์ภูมิพล ที่ชนะทางการทหาร แต่พ่ายแพ้ทางการเมือง อะไรคือรัฐบาลที่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่กล้าแม้แต่จะยกเลิกกฎอัยการศึก

MP3: http://goo.gl/dfk8JA
Youtube: http://youtu.be/pGkZwtDokJ4




Read More »

โครงการพระราชดำริเพื่อใคร

Read More »

แผนการ สลายมวลชน ญี่ปุ่น

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=365529010270682&set=pcb.365531073603809&type=1&theater 


แผนการ สลายมวลชน ญี่ปุ่น (ช่วยแชร์ด่วน )

หลังจากการเคลื่อนไหว กิจกรรมยืนหยังสือต่อกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ที่กระเทือนทหารสุด ๆ ของ กลุ่มพี่น้องผู้รักชาติญี่ปุ่น
ยุทธเหล่ถึงกับสะอึก จำเป็นต้องหยุดแดงญี่ปุ่นให้ได้ เจ้าคะ
ดอดส่ง หน้าห้อง ไปหาข่าว และ สร้างความแตกแยกถึงญี่ปุ่น
แกนนำ ที่่นั่น กลุ่มหนึ่ง อย่างไรไม่ชัดเจนออกตัวต้อนรับขับสู้ศัตรูอย่างดี ...
สุดท้ายโดนทหารกล่อมอีท่าไหน มิทราบได้
ตอนนี้ กลับหัวเป็นหาง ออกมาเกลี้ยกล่อมพี่น้องแดงญี่ปุ่นให้ ยอมประยุด อ้างว่าทักษิณ ว่าร่วมกับสางเขียว
แบบนี้อาการไม่ค่อยดีนะคะ ออกตัวก่อนนะคะ ว่า อาการแบบนี้ โดนประบทัศนคติ ล้างสมองแล้วชัวร์ ถึงได้เบรอ แบบนี้ พี่น้องญี่ปุ่นทราบแล้วเปลี่ยน



Read More »

"ในห้องนั้น เค้าสอบสวนอะไรผม" บุเรงนอง ตอน 2

บันทึกความจริงใต้เงาเผด็จการ

"ในห้องนั้น เค้าสอบสวนอะไรผม"

ผม ถูกนําตัวไปที่ห้องแห่งหนึ่งในสโมสรกองทัพบก เป็นห้องโถงกว้างๆ มีทหารอยู่มากพอสมควร ท่าทางของบรรดาทหารในเวลานั้นดูสบายๆ ประหนึ่งว่าการนำตัวประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารมาสอบสวนเป็นเรื่องปกติ

ผมกังวลกับสถานการณ์ของตัวเองมากๆ ผมคิดว่าหลังจากนี้ ผมคงถูกพาตัวไปต่างจังหวัด เหมือนกับที่ปรากฎในข่าวที่ทหารได้ทำกับแกนนำหรือรัฐมนตรี

ผมไม่แน่ใจว่าผมจะถูกซ้อมหรือเปล่า หรือเขาจะทำอะไรผมมั้ย ผมกลัวว่าจะถูกทรมาน เพื่อให้คายข้อมูลอะไรก็ตามแต่ที่ทหารต้องการให้ผมพูด

ผมถูกพาตัวไปหาสารวัตรทหาร (ส.ห.) นายหนึ่ง อายุประมาณ ๒๕ ปี เขาดูมีท่าทีร่าเริง หน้าที่ของเขาคือการทําทะเบียนประวัติผู้ที่ถูกจับกุมตัวจากการต่อต้านรัฐ ประหาร เขาถามข้อมูลทั่วไป เช่น เบอร์โทรศัพท์ ญาติพี่น้อง ที่พักอาศัย แผนที่ที่พัก ผมพยายามโกหก ผมมีข้อมูลที่จะต้องปกปิด ผมไม่อยากให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ต้องเดือดร้อน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆทราบข่าวที่ผมโดนจับแล้วหรือยัง ผมได้แต่ภาวนาว่า พวกเขาคงเตรียมพร้อม และจัดการเคลียร์ห้องผมให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นเรื่องแผนที่ที่พัก หรือการมีญาติพี่น้องในกรุงเทพฯ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เปิดเผย และดูเหมือนว่าผมจะทําสําเร็จ เพราะ ส.ห. นายนี้ ไม่ได้พยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมบอกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อทําทะเบียนประวัติเสร็จเรียบร้อย ก็ได้มีทหารอีกคนนําตัวผมไปถ่ายรูปทั้งสี่ด้าน และขอโทรศัพท์มือถือของผม (ผมได้แต่หัวเราะในใจ ว่าดีนะที่ผมไม่ได้เอาสมาร์ทโฟนไป เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้ ผมใช้ได้เพียงโทรเข้าออกเท่านั้น และนึกขำต่อไปอีกว่ารุ่นเก่าขนาดนี้ทหารจะหาสายชาร์จแบตได้ไหมนะ) จากนั้น ส.ห. ที่สอบสวนผมก็ให้ผมรอพบกับใครคนหนึ่ง โดยเขาไม่ได้บอกว่าเป็นใคร

ผ่านไปราว ๑ - ๒ ชั่วโมง ส.ห. ได้พาผมไปพบกับชายคนหนึ่งที่แต่งตัวธรรมดาเหมือนประชาชนปกติ อายุราวสามสิบต้นๆ ดูไม่น่าจะใช่ทหารที่มีหน้าที่อยู่ภาคสนามเท่าไหร่ มีลักษณะเหมือนสายลับมากกว่า เมื่อผมนั่งลงตรงหน้าเขา เขาทําความรู้จักกับผมเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็เริ่มสอบสวนผม

เขาถามผมว่า พวกเรามีกันกี่คน ได้เงินทุนมาจากไหน ทําไมถึงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองสงบ รัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วรู้ไหม มันไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ที่จะทําให้ประเทศชาติสงบได้ และคําถามที่เขาดูเหมือนจะอยากรู้มากที่สุดก็ถูกพูดออกมา คุณคิดยังไงกับมาตรา ๑๑๒ พวกคุณล้มเจ้าหรือเปล่า

คำถามเหล่านี้ ผมคาดคิดมาก่อนแล้วว่าต้องถูกถาม เพราะทหารยังไงก็ยังเป็นทหารวันยังค่ำ พวกเขาไม่เชื่อว่าการที่ประชาชนออกมาชุมนุมต้านรัฐประหารคือพลังบริสุทธิ์ พวกเขามักคิดว่าพวกเราโดนซื้อ หรือมีคนอยู่เบื้องหลังเสมอ ผมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขา ผมบอกว่า “ผมกับเพื่อนๆ มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ผมไม่เชื่อว่ารัฐประหารคือหนทางของการแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามันไม่ได้ถูกแก้ แต่คุณแค่ระงับเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่อง ๑๑๒ ที่คุณถามผม มีหลายคนที่พูดเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน บางคนอยากให้ยกเลิก บางคนอยากให้แก้ไข และหลายคนก็มีเจตนาที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณเหมารวมไม่ได้หรอกว่าคนที่พูดเกี่ยวกับ ๑๑๒ จะมีจุดประสงค์เพื่อล้มเจ้า แล้วคุณเองล่ะ คิดยังไงกับ ๑๑๒”

ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “อยากให้เพิ่มโทษเป็นจําคุกร้อยๆ ปีไปเลย พวกเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นพวกล้มเจ้าต้องเอาให้หนัก”

ภายในใจเวลานั้นของผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักนิด เพราะสําหรับทหารส่วนใหญ่เรื่อง ๑๑๒ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางยอมได้ และทหารหลายคนก็คงมีแนวคิดว่าเรียกร้องประชาธิปไตยเท่ากับล้มเจ้า ทหารคนนี้ก็มีระบบความคิดไม่ต่างจากที่ผมเคยเจอมา

เขาถามผมต่อว่า “อย่างเรื่องคอรัปชั่น ออกมาต้านบ้างไหม ทําไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่ยอมออกมา มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”

ผมคิดในใจว่า มาอีกละพล็อตเดิมๆ ทำไมไม่ต้านคอรัปชั่น ทำไมผมจึงต้องตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ นะ

“ผมทําสิ ผมทํามากกว่าที่คุณทําอยู่ในเวลานี้ก็แล้วกัน อย่างโครงการ เรือเหาะ GT-200 ก็เป็นโครงการทุจริตที่ผมต่อต้านมากๆ แล้วคุณทําอะไรบ้างไหมกับโครงการทุจริตดังกล่าว ทําอะไรบ้างไหม” ผมตอกหน้าเขาเต็มๆ ทหารคนนั้นหน้าเสียไปเลย ทหารนายนี้น่าจะรู้ดีว่ากองทัพของเขาเต็มไปด้วยคำครหาเกี่ยวกับคอรัปชั่น

เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อผมจึงพูดต่อไปว่า “ว่าไงละ คุณทำอะไรเกี่ยวกับคอรัปชั่นบ้าง คุณรู้ดี ว่าทหารมีหลายอย่างที่พัวพันกับการทุจริตคอรัปชั่น คุณทำอะไรมั้ย ไหนบอกผมมาสิ”

เขานิ่งไป เขาหยุดชะงัก แววตาเหมือนกำลังพยายามตอบตัวเอง และเลือกเฟ้นคำที่เหมาะสมเพื่อตอบคำถามผม ผมค่อนข้างแปลกใจที่ไม่เห็นแววตาโกรธแค้นอะไรเลยเมื่อผมย้อนถามเขา

“ผมทำอะไรไม่ได้ ผมคนเดียวทําอะไรไม่ได้” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา

“งั้นแสดงว่าคุณไม่ได้รักชาติอย่างที่พยายามบอกผมใช่ไหม แต่คุณรักตัวเองมากกว่า” ผมโต้เขา

ผู้สอบสวนผมเงียบ ดูเหมือนเขาพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ผมพยายามอย่างหนักเพื่อให้บทสนทนาต่อๆไปของเราพูดแต่เรื่องของการคอรัปชั่น ผมรู้ดีว่าผมได้เปรียบในเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง ทหารนายนี้เริ่มอึกอัก ดูเหมือนจะพูดอะไรต่อไม่ได้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหาคนที่ดูเหมือนเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา

ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าได้เวลาพาตัวผมไปต่างจังหวัดแล้ว ผมกังวลว่าสิ่งที่ผมพยายามเล่นงานเขาด้วยเรื่องคอรัปชั่นทหาร อาจทำให้เขาไม่พอใจ และกลั่นแกล้งผมด้วยการกักตัวไว้นานๆ

ผมนั่งอยู่บนโต๊ะตรงนั้นคนเดียวประมาณ ๓๐ นาที ก็มีนายทหารคนนึงเข้ามาพูดด้วยเสียงดังแกมข่มขู่หน่อยๆ ว่า ผมได้รับการปล่อยตัว แต่ต้องเซ็นเอกสารตกลงว่าจะไม่ทําแบบนี้อีก ซึ่งภายในเอกสารใบนั้นประกอบด้วยสาระสําคัญ คือ ห้ามปลุกปั่นยั่วยุหรือชุมนุมทางการเมืองอีก หากฝ่าฝืนจะถูกส่งตัวขึ้นศาลทหาร

ผมใช้ความคิดอย่างหนัก ผมถามหัวใจตัวเองว่าจะสู้กับรัฐประหารแค่ไหน ผมลําบากใจมาก ผมได้แต่ปลอบตัวเองว่าอยู่ ข้างนอก มันน่าจะทําอะไรได้มากกว่าอยู่ในคุกให้ญาติพี่น้องของเราต้องมาขึ้นศาลและหา ทางประกันตัว

ผมแทบร้องไห้ เมื่อพยายามบรรจงเซ็นชื่อตัวเองลงในกระดาษแผ่นนั้น ผมรู้สึกเหมือนทรยศต่ออุดมการณ์ ผมมันขี้ขลาดจนยอมสยบต่อทหาร ผมมันขี้แพ้ใช่มั้ย ผมได้แต่สาปแช่งตัวเองว่า ไอ้ขี้แพ้!

- บุเรงนอง
Read More »

"ฉันแค่คิดต่าง นั่นคือสิ่งที่พวกเขากลัว" แอนน์ แฟรงค์ ตอน 1

บันทึกความจริงใต้เงาเผด็จการ

"ฉันแค่คิดต่าง นั่นคือสิ่งที่พวกเขากลัว"

เมื่อ วันที่ 22 พ.ค. มีประกาศกฎอัยการศึก ทำให้มีโทรศัพท์หากันวุ่นวายและคุยกันเรื่องชุมนุมประท้วงต้านกฎอัยการศึก ทันทีและพวกเราก็ได้ทำกิจกรรมต้านกฎอัยการศึก เพราะเชื่อว่าคงจะรัฐประหารแน่นอน!!

แล้วก็เป็นจริง มีประกาศรัฐประหารตามตามมา และต้องประกาศ เรียกรายงานตัว ซึ่งก็จริงตามความคิด โดยมีประกาศเรียกรายงานตัวมีคนรู้จักทั้งนั้นเลย ขณะนั้นรู้สึกเป็นห่วงทุกคน ยิ่งคนไหนสนิทมากก็จะกังวลมาก และได้มีโอกาสโทรกลับไปหาเพื่อนๆเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์
ทำให้เริ่มติดตามข่าวการชุมนุมต้านรัฐประหารอย่างใกล้ชิดแบบไม่หลับไม่นอน เลย เพราะประเมินไม่ได้เลยว่าจะเรียกใครไปรายงานตัวบ้าง ไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของ คสช.คือใครบ้าง จากการติดตามข่าวก็รู้แต่เฉพาะคนที่เป็นข่าวเท่านั้น ส่วนคนสนิทที่ถามจากญาติทุกคนที่ไปรายงานตัวกลับออกมาก็จะติดต่อไม่ได้ เพื่อนสนิทบางคนก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้ ทราบอีกทีก็เห็นว่าถูกทหารจับตัวไปแล้ว ยิ่งทำให้ไม่รู้สถานการณ์ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่

จากนั้นเริ่มเห็นข่าวจับกุมผู้ออกไปต้านรัฐประหารตามที่ต่างๆ รวมถึงการประกาศออกมาควบคุมผู้ชุมนุมมากขึ้น ผู้ถูกเรียกรายงานตัวที่เข้าแล้วไม่มีข่าวออกมาว่าเป็นอย่างไรและไม่ทราบ จำนวนคนว่าไปรายตัวมากน้อยแค่ไหน ทำให้มีแต่ข่าวลือว่าไปรายงานตัวแล้วถูกทำร้ายร่างกายจนตาย บางคนไม่ไปรายงานตัวหนี มีข่าวลือเหล่าออกมาเป็นระยะผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นข้อมูลที่เช็คไม่ได้เลยว่าจริงหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่องการปิดเฟซบุ๊ก การแฮกข้อมูลส่วนตัวทางไลน์ ทางเฟซบุ๊กของกลุ่มคนที่ทาง คสช. ต้องการข้อมูลในเรื่องต่างๆ ทำให้มีคนเตือนว่าให้ลบข้อมูลที่แชทหลังไมค์กับคนอื่นออกให้หมด รวมทั้งมีคำเตือนว่าสำหรับคนที่โดนเรียกรายงานตัวด้วยว่าอาจจะต้องลบข้อมูล หรือปิดเฟซบุ๊กไปเลย

ข่าวลือเกี่ยวกับความรุนแรงต่อคนที่ถูกเรียกไปรายงานตัวมากมาย เช่น เข้าไปรายงานตัวแล้วไม่ทราบชะตากรรม เข้าไปแล้วญาติพี่น้องไม่ทราบทหารเอาไปไว้ที่ไหน ถูกกักตัวกี่วันมีการซ้อมทรมานหรือไม่ เป็นต้น สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก คนที่ถูกเรียกรายงานตัวต้องหวาดผวากับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ภาพข่าวทหารอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ประกาศเคอร์ฟิว การจับกุมผู้คัดค้าน การเรียกรายงานตัว ยิ่งทำให้เกิดความหดหู่มากขึ้น

ขณะที่ตัวเองก็ยังรอลุ้นว่าจะมีรายชื่อเรียกรายงานตัวหรือไม่ แต่ตอนนั้นก็คิดไว้ว่าอาจจะถูกเรียก บวกกับสอบถามเพื่อนๆ ขณะนั้นมีข่าวลือว่าอาจจะมีการอุ้มหายหรือฆ่าทิ้งหรือเรียกรายงานตัว ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้นอยู่ในบัญชีไหน เมื่อทราบแบบนี้ยิ่งคิดก็หวาดกลัวมากขึ้นสำหรับนักกิจกรรมที่ยังไม่มีราย ชื่อเรียกรายงานตัว เมื่อมีประกาศรายงานตัวก็จะติดตามว่ามีชื่อตัวเองหรือเปล่า แต่ขณะนั้นไม่เคยคิดจะวางแผนล่วงหน้าเลยว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่
อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมามีประกาศเรียกรายงานตัว ขณะนั้นอยู่นอกบ้าน กำลังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารอยู่ จึงไม่ทราบข่าวในทันที แต่พอกลับเข้าบ้านแล้วเช็คข้อมูลทางไลน์และเฟซบุ๊กก็ทำให้ทราบข่าว

คำถามแรกที่ถามตัวเองขณะนั้นคือแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาไม่เคยวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เมื่อตั้งสติได้จึงเช็คกับเพื่อนที่โดนเรียกด้วยกันว่าพวกเขาจะไปเข้ารายงาน ตัวหรือไม่ พร้อมทั้งประเมินถึงสาเหตุที่เรียกพวกเรา และที่สำคัญก็ประเมินกันต่อว่าจะเป็นประเด็นที่ร้ายแรงหรือไม่ด้วย

เรื่องใหญ่คือถามตัวเองว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่ เพราะขณะนั้นยังมีเวลาคิดอีก 3 วัน ก่อนจะถึงกำหนด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่คิดมากตลอด ประกอบกับพิจารณาจากรายชื่อที่ถูกเรียกรายงานตัวในคำสั่ง คสช. ฉบับเดียวกันนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับ มาตรา 112 จึงยิ่งทำให้รู้สึกกังวลมากขึ้น

ขณะนั้นได้ติดต่อครอบครัว ทราบจากพี่สาวด้วยว่ากำนันได้เข้ามาขอข้อมูลส่วนตัวของเรา ว่าทำงานอะไร พาเพื่อนมาบ้านด้วยหรือเปล่า เพื่อนเป็นใครบ้าง มาบ้านบ่อยแค่ไหน เล่าอะไรให้ฟังบ้าง และที่เน้นถามมากๆคือมีแฟนหรือเปล่า เป็นต้น ส่วนตัวก็คิดว่า คสช. มีอำนาจอะไรมาเรียกเรา ถ้าเราไม่ยอมรับอำนาจนั้น โดยไม่ไปรายงานตัวจะเกิดปัญหากับเราอย่างไร กับครอบครัวอย่างไร กับคนรอบข้าง กับธุรกิจที่เราทำอยู่อย่างไร
ถ้าเราไปรายงานตัวเราต้องเจอกับอะไรบ้าง คนอื่นๆ จะมองว่าเราไปยอมรับอำนาจแบบนั้นได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ทำให้คิดมาก เริ่มมองคนอื่นๆ ที่เขาไปรายงานตัวว่าเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง รวมไปถึงคิดเรื่องการอยู่ต่างประเทศจะทำอะไรได้ มากน้อยแค่ไหน จะมีคนสนใจเข้าร่วมหรือเปล่า จะมีการรวมกลุ่มคนในต่างประเทศได้อย่างไร เป็นช่วงที่วุ่นวายในการตัดสินใจมากๆ ในที่สุดแล้วก็ตัดสินใจไปรายงานตัว แต่ขณะนั้นไปรายงานตัวโดยตรงไม่ได้ จึงใช้วิธีการไปรายงานตัวกับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง และทำจดหมายถึง คสช. ผ่านสื่อ แต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่เราไปพบไม่ได้สนใจที่จะรับรายงานตัวเราเลย

เพื่อนๆ หลายคนได้เข้ารายงานตัว และเมื่อออกมาก็ได้ติดต่อสอบถามข้อมูลในเรื่องต่างๆ จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลก็คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะว่าเรื่องต่างๆ เราน่าจะอธิบายได้ คิดว่าเรื่องสำคัญขณะนั้นคือเรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก ทั้งเรื่องงานส่วนรวม งานส่วนตัว

แต่หลังจากเรียกรายงานตัวได้ 3 วัน กลับมีหมายจับตามมาอีก ทำให้เรื่องยิ่งซับซ้อน การตัดสินใจยากขึ้น ยิ่งคิดมากขึ้น จึงวางแผนติดต่อเพื่อนทุกคนที่ไว้วางใจเพื่อประเมินสถานการณ์ทั้งทางกฎหมาย และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงติดต่อเพื่อนในต่างประเทศเกี่ยวกับการลี้ภัย ประเมินความเป็นไปได้ทั้งหมด และสอบถามถึงสภาพชีวิตความเป้นอยู่ของผู้ลี้ภัย มีขั้นตอนอะไรบ้าง คนที่รับรองเข้าเมืองจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ญาติพี่น้อง เพื่อน ธุรกิจ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ได้นำข้อมูลจากทุกส่วนมานั่งคิดวิเคราะห์ ยิ่งทำให้รู้สึกสับสนมาก รวมถึงประเมินว่าถ้าติดคุกจะได้อะไรจากการติดคุก เราพร้อมจะเจอปัญหาหรือยัง เงินประกันตัวต้องหาจากไหน เป็นเงินเท่าไหร่ ใครจะเป็นทนาย ถ้าทำเรื่องลี้ภัยต้องทำแบบไหนใครจะเข้ามาช่วยได้บ้าง ทำข้อมูลเพื่อนในต่างประเทศทั้งหมดที่จะช่วยเหลือเราได้

สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้ามอบตัว แต่ระหว่างวันก็ยังคิดว่าถ้ามีปัจจัยอื่นแทรกแซงเข้ามา เช่น มีการอุ้มฆ่า คนหาย คนตายยิงกราด กวาดจับไม่เลือกหน้า เป็นต้น เราก็จะเปลี่ยนใจ แต่เท่าที่ตามสถานการณ์ไม่ได้เกิดความรุนแรงแบบนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วก็เตรียมแผนที่จะเผชิญต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เตรียมรับ มือ ช่วงของการตัดสินใจนั้นเราใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจทั้งหมด ข้อมูลจากคนอื่นๆเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น การให้กำลังใจ คำแนะนำต่างๆ ในช่วงนั้น ทำให้คิดว่าถ้าเราทำงานกันแบบปัจเจกและไม่มีขบวนการในการต่อต้าน เราจะโดดเดี่ยวและที่สุดเราก็คงจะต้องคิดเรื่องทำมาหากินเพื่อให้ชีวิตรอดไป วันๆ เท่านั้น

เป็นความรู้สึกที่ตัดสินใจยากลำบากมากที่สุดเท่าที่เจอมา มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เราก็ผ่านการตัดสินใจนั้นมาแล้ว เราเลือกที่จะเดินเข้าไปเผชิญปัญหาทุกอย่าง...

- แอนน์ แฟรงค์  อ่านต่อ ตอนที่ 2


Read More »

"เมื่อผมถูก คสช.เรียก" เสียงสามัญ ตอน 1


"เมื่อผมถูก คสช.เรียก"

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ แต่ไม่ใช่วันหยุด เนื่องจากผมยังต้องทำงานตามปกติที่ไม่เป็นเวลา ตามหมายข่าวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นๆ เสร็จจากงานก็ไปออกกำลังกาย แม้จะพกโทรศัพท์มือถือไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงสายเข้ามาจำนวนมากจาก คนที่ผมรู้จักเพราะวางไว้ไกลตัว จนกระทั่งออกกำลังกายเสร็จผมก็มาเปิดโทรศัพท์ดู ปรากฏว่ามีเบอร์ทั้งแม่ พ่อ เพื่อนเก่า-ใหม่ เพื่อนร่วมงาน โทรเขามา miss call จำนวนมาก ในใจขณะนั้นคิดว่าต้องเกิดเรื่องแน่นอนเพราะไม่เคยเกิดปรากฏการณ์แบบนี้กับ ตัว แม้แต่วันเกิด, วันขึ้นปีใหม่ก็ไม่มีใครโทรมาจำนวนมากขนาดนี้

จึงไล่ดูความสำคัญ เลือกโทรกลับไปหาแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดก่อน ได้ทราบความจริงว่าผมมีชื่ออยู่ในคำสั่งเรียกรายงานตัวของคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ หรือ คสช. สิ่งแรกที่ผมทำขณะนั้นคือปลอบใจแม่และพ่อ พร้อมใส่เสียงหัวเราะของตัวเองไปในสายโทรศัพท์ “โอ้ยยย ไม่มีอะไรหรอกแม่” เพื่อให้ทั้ง 2 ท่านรู้สึกผ่อนคลายหายกังวล โดยที่แม่เล่าว่าคนแถวบ้านตะโกนบอกให้ดูโทรทัศน์จึงทราบว่ามีชื่อลูกชายตัว เองอยู่ในนั้น

ภายหลังทราบด้วยว่าผลจากการประกาศชื่อออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ นี้ สร้างความรับรู้ของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะกับคนที่รู้จัก มีคนมาพูดกับแม่ผมในทำนองว่าลูกไปก่ออาชญากรรมอะไร เขาถึงได้ประกาศเรียกผ่านโทรทัศน์ขนาดนั้น แม่ผมก็เลยสวนไปว่า “ลูกฉันไม่ได้ไปทำผิดหรือฆ่าคนอะไร คงแค่คิดต่างเขาก็เท่านั้น” ผมได้ถามแม่ไปหลังจากนั้นด้วยว่าแม่รู้สึกอายและกังวลไหมที่เป็นแบบนี้ ผมก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ผมสบายใจคือ แม่ผมไม่ได้กังวลอะไร เพราะเชื่อว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้ก่ออาชญากรรม

อย่างไรก็ตาม นอกจากความสนใจของชาวบ้านที่พุ่งตรงมาหาแม่ผมแล้ว ยังมีความสนใจจากหน่วยความมั่นคงของจังหวัด ที่มาหาแม่ผมพร้อมทำประวัติแม่-พ่อ และซักถามถึงประวัติของผม มีการถ่ายรูป 4 ด้านของแม่ผมด้วย นี่เป็นการสร้างแรงกดดันมากที่สุดที่ส่งผลให้ผมต้องไปรายงานตัวให้ทันตามวัน เวลาที่ คสช. ระบุไว้

ในคำสั่งเรียกรายงานตัวของ คสช. เดียวกันนั้น นอกจากผมแล้ว ยังมีเพื่อนที่เคยทำกิจกรรมร่วมกันมาในอดีต รวมทั้งรายชื่อคนที่ผมรู้จักจำนวนหนึ่ง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมคาดการณ์ได้ว่า “เขาเรียกผมไปรายงานตัวทำไมวะ(ครับ)” ด้วยภาวะที่เดาไม่ได้ ว่าเป็นเพราะกิจกรรมที่ทำในอดีต หรืองานสื่อที่ทำในปัจจุบัน หรืออะไร ส่งผมให้ผมเลือกที่จะปิดช่องทางการสื่อสารหรือช่องทางการบันทึกประวัติการทำ กิจกรรมผมสิ่งแรกคือ ‘facebook’ รวมทั้งถูกเพื่อนถีบออกจากกลุ่มสนทนาทางการเมืองต่างๆในเฟซบุ๊ก เหลือไว้ใช้เพียงบัญชีที่โพสต์แต่เรื่องทั่วไป เรื่องการเมืองที่ไม่มีข้อความต่อต้าน คสช. ผลกระทบจากการกระโดดและถูกถีบออกจากกลุ่มสนทนาเหล่านั้นมีผลมาถึงปัจจุบัน นี้ ทำให้ผมตามความเคลื่อนไหวเพื่อรายงานข่าวได้ยากขึ้นด้วย

เนื่องจากประกาศเรียกรายงานตัว เว้นช่องว่างให้ผมได้เตรียมตัวอย่างน้อย 2 วัน ทำให้มีโอกาสได้ปรึกษาและวิเคราะห์กับเพื่อนที่อยู่ในลิสต์เรียกรายงานตัว ด้วย เพื่อประเมินว่า “ตกลงเขาเรียกพวกเราเพราะอะไรวะ(ครับ)” และสุดท้ายก็นัดพบกันที่หน้าสโมสรทหารบก เทเวศร์ ตามวันเวลาที่ คสช. เรียก เพื่อเข้ารายงานตัวและถูกกักตัว ถูกสอบสวนในวันต่อมา
สำหรับการเรียกรายงานตัวนั้น กรณีหลังๆ จะเปลี่ยนจากการประกาศทางโทรทัศน์ไปเป็นเอาหมายเรียกไปส่งที่บ้าน ตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ถ้าไม่ได้อยู่หรือไม่มีใครอยู่ก็อาจไม่ทราบและอาจถูกเหมาว่าเป็นการฝ่าฝืนคำ สั่ง คสช. ต่อมาก็ได้ จากที่สังเกต คสช. ดำเนินการ 2 แบบคือ 1. ใช้วิธีประกาศชื่อเรียกซ้ำ หรือ 2. ใช้วิธีการขออำนาจศาลออกหมายจับ เช่นกรณี เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา 10 คน ที่ไม่ได้มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการประกาศเรียกระบุเพียง ชื่อ-นามสกุล เท่านั้น ทำให้มีผู้ที่เดินทางมารายงานตัวซ้ำ เช่น 'ดวงใจ พวงแก้ว' ซึ่งถูกเรียกตามคำสั่ง คสช. 58/2557 เดินทางมารายงานตัววันที่ 10 มิ.ย. ซ้ำถึง 4 คน หรือวันก่อนหน้านี้ผู้มีชื่อ ‘จรรยา ยิ้มประเสริฐ’ มารายงานตัวเช่นกัน แต่เป็นคนละคนกับที่ คสช.ต้องการเรียกตัว เป็นต้น

- เสียงสามัญ
Read More »

"วันที่ผมลุกขึ้นสู้...แต่แพ้" บุเรงนอง ตอน 1


"วันที่ผมลุกขึ้นสู้...แต่แพ้"

นับตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ผมกับเพื่อนๆซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายๆกัน คือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐประหาร พวกเรามักจะไปด้วยกันเสมอไม่ว่าจะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารที่ไหน เราอยากให้รัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว เราเชื่อว่าถ้ารัฐประหารครั้งนี้ล้มเหลว มันอาจจะเป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเลยก็ได้

ในช่วงแรกของการต่อต้าน แฟนของผมเป็นกังวลมาก ไม่ใช่ผมไม่กังวลหรอกนะ ผมเองก็กลัวมาก แต่ผมรู้ดีว่าผมท้อไม่ได้ ถ้าผมท้อ หรือแสดงความกลัวให้แฟนผมเห็น มันจะยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ผมพยายามปลอบเธอ ว่าผมคงไม่เป็นอะไร คนออกจะเยอะแยะ ทหารคงไม่กล้าทำอะไร แฟนผมร้องไห้และพยายามห้ามผม พยายามบอกว่า ไม่ไปได้มั้ย อย่าไปได้มั้ย แน่นอนว่าเธอรู้ดี เธอไม่สามารถห้ามผมได้ ในที่สุดเธอก็เลิกที่จะพยายามห้ามผม พวกเราทั้งสองคนได้แต่ปลุกปลอบกันและกันว่าคงไม่เป็นไร เดี๋ยวไม่นานก็คงได้เจอกัน

ผมกับเพื่อนๆ เราไปชุมนุมต้านรัฐประหารด้วยกันหลายครั้ง โดยมักเดินทางด้วย BTS สำหรับคนทำงานมันเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด ในช่วงแรกๆของการต่อต้านรัฐประหาร ผมและเพื่อนๆกลัวมาก เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราอาจจะถูกอุ้มหายไปได้

เมื่อไปชุมนุมบ่อยๆ ผมก็เริ่มด้านชากับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่ว่าเราอาจจะถูกจับ ความรู้สึกที่ว่ามีคนจำนวนมากที่ถูกทหารจับตัว ความรู้สึกของการสูญเสียสิทธิ-เสรีภาพ มันกลายเป็นความชินชา เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่ความปลอดภัย สิทธิเสรีภาพ ในประเทศนี้มันไม่มีอีกแล้ว และมันเป็นเรื่องธรรมดาจนดูเหมือนว่าการต่อต้านความชั่วร้ายเหล่านี้กลาย เป็นสิ่งที่แปลกแยกไป

วันแล้ววันเล่าผ่านไป ผมและเพื่อนๆ ยังคงเชื่ออย่างงมงายต่อไปว่าเราจะชนะทั้งๆที่คนที่มาชุมนุมก็ลดลงเรื่อยๆ เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถแก้ไขความผิดพลาดของประเทศนี้ได้ จนกระทั่งพวกเราโดนจับ และนั่นดูเหมือนจะยุติการชุมนุมประท้วงของพวกเราลงไป

วันนั้นเป็นเวลาเย็นๆของสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปชุมนุมเพื่อต่อต้าน คสช.

ผมกับเพื่อนๆ เราตกลงกันว่าจะไปต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งรวมคนกันได้ก็มีจำนวนมากพอสมควร

พวกเราไปถึงก่อนเวลานัดหมายประมาณ ๑ ชั่วโมง และได้พบกับทั้งกำลังตำรวจและทหารที่มารออยู่ก่อนแล้ว

ผมแน่ใจว่า การชุมนุมครั้งนี้ คงไม่สามารถจะทำได้ปกติ ผมรู้สึกได้ว่า ทั้งทหารและตำรวจกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อแยกผุ้ชุมนุมออกจากประชาชนทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขากำลังตามหาเราด้วยเช่นกัน

โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลานัดหมายชุมนุม ทหารและตำรวจ เริ่มลงมือจับใครก็ตามที่มีท่าทีเป็นแกนนำ เมื่อเริ่มมีคนถูกจับ สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย ผมกับเพื่อนๆในเวลานี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนผมบางคนได้ถูกทหารหลายคนใช้กำลังรวบตัว ผมพยายามหาทางไปช่วยเพื่อน ไม่ช้าผมก็รู้สถาณการณ์ของตัวเองว่าตอนนี้ทหารได้บล็อคผมไม่ให้ไปช่วยเพื่อน ได้

ผมถูกนำตัวขึ้นรถตู้ และถูกส่งตัวไปยังสโมสรกองทัพบก ในเวลานั้นผมเป็นกังวลหลายๆอย่าง ผมไม่ห่วงว่าตัวเองจะเป็นอะไรกับการเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. เพราะผมชินชา และยอมรับในผลของการกระทำของตัวเองที่ผมรู้ดีว่ามีความเสี่ยง แต่ผมเป็นห่วงครอบครัว ครอบครัวผมเป็น กปปส. ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ผมรู้ดีว่าเมื่อพวกเขารู้ว่าผมถูกจับ มันจะทำให้พวกเขาเสียใจเป็นอย่างมาก และสำหรับญาติพี่น้องบางคนที่ค่อนข้างหัวรุนแรง นั่นอาจหมายถึงผมกลับบ้านตัวเองไม่ได้อีกเลย สำหรับคนรัก ผมเป็นห่วงว่าแฟนผมจะอยู่อย่างไร ผมไม่อยากให้เธอเดือดร้อนไปด้วย และสำหรับห้องพักของผมเอง ผมกลัวว่าทหารจะบุกมายังห้องพักของผม และนั่นอาจหมายถึงว่าจะมีอีกหลายคนที่อาจได้รับอันตราย

ระหว่างการเดินทาง มีทหารประมาณ ๕ นายอยู่บนรถด้วย ในระหว่างนั้นมีสายโทรเข้ามาโทรศัพท์มือถือผม(โชคดีที่ผมใช้โทรศัพท์ที่ทำ ได้เพียงโทรเข้าออก) และเมื่อผมกำลังจะกดรับ ทหารคนนั้นก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปจากผม จนกระทั่งเมื่อสายนั้นหยุดไป ผมก็บอกทหารว่า “เอามันคืนมา” ทหารผู้นั้นตอบผมว่า “ไม่ได้” ผมสวนกลับไปว่า “ผมจะปิดเครื่องไม่ใช้มัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้” ผมไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวพวกเขา ผมไม่แน่ใจว่าทำไม ทหารผู้นั้นยอมคืนโทรศัพท์ให้ผม จากนั้นผมก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้ ภายในใจเวลานั้น ผมได้แต่เพียงคิดว่า ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว ผมแพ้!

- บุเรงนอง อ่านต่อตอนที่ 2


Read More »

Thursday, September 25, 2014

ความโง่ของ รองนายกและรัฐมนตรีกลาโหม

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=545113168923784&set=a.104469196321519.4513.100002753173461&type=1&theater

ไม่รู้ประสา เป็นถึงรองนายกและรัฐมนตรีกลาโหมด้วยซ้ำ
FBI คือหน่วยงานของสหรัฐฯ กรณีนี้ เป็นฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวอังกฤษ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ เลย ถ้าจะเกี่ยว ก็คือ Scotland Yard ครับ
.....โง่....
This is shocking. Deputy PM and Defense Minister said he would not need help from FBI to deal with the murderers of the two British... Hello? What is FBI doing here?


Read More »

คนเสื้อแดงมีหลายเวอร์ชั่น

Read More »

ศุกร์นี้รายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"ออกอากาศเป็นเทปสุดท้าย 26/9/2014




ความสุขของประชาชนจะกลับคืนมาจริงๆ และจะยิ่งมากขึ้นหากหากคณะโจร #คสช.#นายกเถื่อน จะไปด้วย






Read More »

พวกคุณสะใจกับสิ่งนี้





Read More »

ยุทธวิธีน้ำผึ้งหยดเดียว Anti REDUDD ประจำวันที่ 24-09-57

Read More »

Wednesday, September 17, 2014

ตามหาคนหาย !!!

ตามหาคนหาย !!! 

เมื่อเดือน ตุลา 54 วานิษา เรซ โพสท์ทวิต
แล้วออกมาโพสท์แก้ข่าวว่า ไม่ได้เจาะจงว่าใคร

ถึงตอนนี้ ใครก็ได้ ช่วยตามหา
หนูดี วานิษา เรซ หน่อย
ว่าเสียชีวิตแล้วหรือยัง

‪#‎ส่งหนูดีไปขายยางที่ดาวอังคาร‬

 

 

Read More »

ประยุทธ์ปล้นอำนาจ และเงินภาษีประชาชน โดยมีในหลวงเซ็น

ท่าน หมายถึง ประชาชน เข้าไปเลือกตั้งไม่ได้เพราะถูกขัดขวางจากกลุ่ม กปปส. ของพวกเรา พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนมากแบบออกหน้าออกตาเหมือนตอนเริ่มต้นรัฐประหาร ใหม่ๆก็ทำไม่ได้เพราะละอายแก่ใจที่ใช้ชื่อว่า Democrat Party ไปแล้ว ท่านจึงทำแทนค่ะ
Read More »

บท ความผมวันนี้ ตีพิมพ์ที่ฮ่องกงใน South China Morning Post ครับ เปิดเผยการทำทารุณกรรมของ

บท ความผมวันนี้ ตีพิมพ์ที่ฮ่องกงใน South China Morning Post ครับ เปิดเผยการทำทารุณกรรมของ

คสช ต่อกลุ่มบุคคลต่างๆ อาทิ ในกรณีของกริชสุดา ที่ถูกซ้อมและทำเอาเกือบตาย แถมป้ายสีว่าค้า

อาวุธ รวมไปถึงการไปเยือนเขมรของธนะศักดิ์ ที่ได้ขอร้องให้เขมรคืนตัวผู้ลี้ภัยไทยในกัมพูชา

My article today in South China Morning Post unravelling the cruelty in the hands of the

junta, as seen in the case of Kritsuda. The visit of new FM to Cambodia was also troubling.

Thailand requested Cambodia to hand over Thai figitives seeking shelter there.

 
Pavin Chachavalpongpun says a new report detailing the human rights abuses of Thailand's military rulers further undermines their legitimacy
scmp.com
Read More »

ทำหนังไม่ดีโทษคนดูนะครับ โดยหม่อมน้อยแม่งเห่า


ผม เริ่มมีความเชื่อว่า พวกหม่อมทั้งหลายขาดความสามารถในการวิเคราะห์งานของตัวเองอย่างตรงไป

ตรงมา แถมจับประเด็นบริบทที่อยู่รอบตัวเองอย่างผิดๆ คนไม่ไปดูแผลเก่าก็โบ้ยความผิดไปที่หนังฝรั่ง

บ้าง โบ้ยไปที่การขาดความเป็นไทยของคนดูบ้าง ในที่สุด บ่นมากๆ ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน

จากกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นเงินจากประชาชน

....ทำไมไม่ถามตัวเองว่า งานที่ตัวเองผลิตดีแค่ไหน เนื้อหาเหมาะกับรสนิยมคนดูในยุคนี้ไหม หรือการ

เอาความเป็นไทยปลอมๆ มาหลอกหากินกับคนดูยังเป็นกลยุทธที่ใช้ได้อีกไหม?

...แถมยิ่งอ่านตอนพันธุ์เทวนพบอกว่า "ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเจอกับปัญหาบ้านเมืองเพราะ

เรารักแผ่นดินไทยและรัก กันน้อยลง" จะเป็นลมนะครับ จับประเด็นการเมืองยังจับผิด ปัญหาการเมืองมัน

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษ ที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวกับรักประเทศ

หรือไม่นะ ทูลหัวของบ่าว

 
ข่าวสดออนไลน์
khaosod.co.th|By บริษัท ข่าวสด จำกัด, ในเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)
Read More »

Tuesday, September 16, 2014

ประชาชนเลี้ยงดูกษัตริย์และครอบครัว

เงินภาษีแต่ละปีเพิ่มขึ้นทุกปี ปี 2014 จ่ายค่าเลี้ยงดูไป 17,268,256,200 บาท เงินจำนวนนี้
 
เอาไปทำอะไรได้บ้าง???
 
นอกจากประชาชนจะเลี้ยงดูแล้ว ยังต้องหมอบกราบครอบครัวนี้ ยกขึ้นไว้เหนือหัว เลี้ยงดูพวก
 
มัน แล้วต้องมาสำนึกบุญคุณของมันอีก 
 
4 hrs ·
แต่ ส่วนแผนงานเทิดทูนฯก็มีความจำเป็นมากกว่า เงินส่วนนี้จึง

นำไปใช้ในการเทิดทูน การพัฒนาและส่งเสริมเด็กที่มีความ

สามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นั้น ปล่อยให้

เป็นหน้าที่ ดร.อาจอง ค่ะ

 http://blogazine.in.th/blogs/phuttipong/post/5042





 
Read More »

ช้างต้องตายเพื่อประยุทธ์ ???

ช้างเป็นสัตว์ประจำชาติ

หน.คสช.ใส่หางช้าง อ้างโชคลาง

ช้างต้องตายเพื่อประยุทธ์ ???

ถ้าไม่มีคนใส่ ช้างคงไม่ต้องตาย
.
.
‪#‎ไหนว่าช้างเป็นสัตว์ประจำชาติ‬ รบเคียงบ่าเคียงไหล่บุรพกษัตริยาธิราชหลายพระองค์ กว่าจะทำให้ไทย

เป็นเอกราชแบบทุกวันนี้
.
.
ทำไมไม่ไปสวมหางหมีแพนด้าวะ
ทำไมต้องเอาหางช้างมาสวม รู้มั้ยว่าช้างต้องตาย
ช่วยกันบอกต่อให้ถึง WWF และองค์กรพิทักษ์สัตว์ทั่วโลก
ให้รู้ว่า นายก(จัญไร) คนที่ 29 ของประเทศไทย
ใส่หางช้าง ... ใส่เพื่ออะไร ?
.
.
ศาสนาพุทธ ไม่สอนในเรื่องของการยึดถือวัตถุ
บูชาหางช้าง ใส่หางช้าง ไม่ใช่คำสอนของพุทธ
องค์กรด้านศาสนา ออกมาสอนประยุทธ์ที
ปล่อยคนหลงงมงายอวิชชา มาอยู่อำนาจ
ถึงคราววินาศฉิบหาย
.
.
สลิ่มทั้งหลาย มึง ตอบ กู ที
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
"อ๋อ อันนี้หางช้างไง ใส่มาตั้งนานแล้ว คนโบราณเขาเชื่อกัน ก็เชื่อตามเขา อ้าวคนไทยใช่มั้ยล่ะ ศาสนา เขาก็เชื่อถือกัน หรือไม่เชื่อล่ะ"
.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, 16 ก.ย.57
หัวหน้า คสช.และนายกฯ
.
ที่มา : คาใจ! นักข่าวทำเนียบ บิ๊กตู่ ใส่เครื่องประดับหรือของขลัง? (16/09/57)
matichon tv http://www.youtube.com/watch?v=o6EBMgY_UtQ
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
ปริศนาช้างตาย! ชำแหละซากทิ้งเกลื่อนถนน
.
ตำรวจกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้รับแจ้งไปตรวจ ‘ซากช้าง’ ถูกชำแหละทิ้งบนถนน ที่ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ยังไม่รู้ว่ามาจากไหน เป็นช้างเลี้ยง หรือช้างป่า ตายด้วยสาเหตุอะไร ถูกฆ่าหรือป่วยตาย ถามชาวกะเหรี่ยงคนเลี้ยงช้างในหมู่บ้านใกล้เคียง ก็ไม่มีใครพูด
.
ที่มา ไทยรัฐ : ปริศนาช้างตาย! ชำแหละซากทิ้งเกลื่อนถนน (12/09/57)
http://www.thairath.co.th/content/449683
.
ภาพประกอบบางส่วน : วิวาทะ V2
Read More »

ไล่ชาวสวยยางเอายางไปขายบนดาวอังคาร

พอ พูดถึงเรื่องพ่อประเย็ด ออกมาปากหมา ไล่ชาวสวยยางเอายางไปขายบนดาวอังคาร

สลิ่มพรีเมทีฟไทยก็จะดิ้นแทนพ่อรัวๆว่า รัฐบาลอีปูทำเงินหมดคลังแล้ว รัฐบาลท่านผู้นำประเย็ดเลยไม่มี

เงินมาช่วยชาวสวนยางนะครัช เลยต้องพูดแบบนี้ ต้องเห็นใจพ่อประเย็ดนะครัช

แต่งบประมาณแผ่นดินสำหรับรักษาพระเกียรติยศของสถาบันกษัตริย์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งลูกน้องพ่อประ

เย็ดเพิ่งลงมติเห็นชอบไป เพิ่มขึ้นจากสมัยรัฐบาลอีกปู 3,100 ล้านบาท ซึ่งอัตราการเพิ่มงบอวยเจ้าของ

ปี 2557-2558 ปีเดียวแม่มเท่ากับอัตราการเพิ่มปี 2554 - 2557 สามปี

สรุปเงินหมดคลังแต่มีเงินเอาไปเพิ่มงบอวยเจ้าได้ จากเดิมปีละ 14,000 ล้านก็ยังไม่พอนะครัช กรูละ

ขรรม
credit : Phuttipong Ponganekgul
http://blogazine.in.th/blogs/phuttipong/post/5042
Read More »

นี่คือนักสิทธิมนุษยชนขี้หมาคนลาวบัก"ริชาร์ดหรืออเมริลาว"ที่ออกมาประนาม

Here is Dr.Richard Amerilao, a shitty Lao human rights activist has defamed and violated

 other people rights by using lese majeste law as a political tool.

นี่คือนักสิทธิมนุษยชนขี้หมาคนลาวบัก"ริชาร์ดหรืออเมริลาว"ที่ออกมาประนาม หยามเหยียดชาว

บ้านอย่างดิฉันที่ลุกออกมาปกป้องสิทธิคนไทยที่ถูกนำรายชิือมา เสียบประจาณ์เพิื่อหวังผลให้พวกเขา

โดนล่าด้วยมาตรา112 ในเวปของนักสิทธิมนุษยชนคนลาวตนนี้

พิจารณาดูกันนะค่ะ พี่น้อง
LikeLike · · · 1311
  • 13 people like this.
  • Jarasing Manabudda
  • สะใภ้ เสียงชาวบ้าน ขอ เรียกร้องให้บุคคลในรูปถ่าย ทำการเขียนจดหมายฟ้องไปยังหน่วยงานที่
     
     นายริชาร์ด ไซ สมมอน สังกัด และ องกรสิทธิมนุษยชนในประเทศอังกฤษ หรือส่งเรื่องโดยตรง
     
    อินบ๊อกส์มาได้เลยค่ะ เพราะดิฉันได้ดำเนินการเขียนจดหมายไปยังองค์กรสิทธิ์ในประเทศอังกฤษ
     
    เกี่ยว กับเรื่องนี้ไปแล้วค่ะ ช่วยกันค่ะอย่าให้พวกคนชั่วพวกนี้ใช้โปรไฟล์นักสิทธิละเมิดสิทธิของท่าน
Read More »