Wednesday, October 1, 2014

เรื่องเล่าจากห้องขัง ตอน 2 แอนน์ แฟรงค์ ตอน 2

  เมื่อ ตัดสินใจเข้าสู่การมอบตัวตามหมายจับ เราถูกควบคุมตัวทันทีจากตำรวจ ขั้นตอนแรกตำรวจได้ทำบันทึกการจับกุม แต่เห็นท่าทีของตำรวจยังไม่มั่นใจว่าเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ จึงให้เรานั่งรอและมีการเรียกทหารเข้ามาปรึกษาหารือกันว่ากรณีของเราจะ ดำเนินการอย่างไรต่อ ในห้องจับกุมจึงเต็มไปด้วยทหารตำรวจใส่เครื่องแบบและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก ตำรวจมาชี้แจงว่าทหารกำลังปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดีระหว่าง นำตัวไปค่ายทหารตามแบบคนอื่นๆ ที่ถูกเรียกรายงานตัว หรือนำตัวไปที่กองทัพบกที่รับรายงานตัวตามประกาศของ คสช.

ระหว่างที่รอข้อสรุปอยู่นั้น ในห้องจับกุมได้ยินทหารใช้วิทยุคุยกันว่าเตรียมรถไปค่ายเมืองกาญจน์ (ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ ขณะนั้นยังไม่ทราบ)
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปว่าทหารไม่ต้องการดำเนินการใดๆ แล้ว ให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนของตำรวจได้เลย มีนายตำรวจระดับสูงเดินทางมาแถลงข่าวในเรื่องของการจับกุมเราด้วย ทำเหมือนกับว่าเป็นการคุมตัวอาชญากรคดีร้ายแรง เมื่อเสร็จการแถลงข่าวจึงนำตัวไปที่สำนักงานตำรวจแห่งหนึ่งเพื่อทำการสอบสวน

ก่อนจะส่งตัว ตำรวจได้เช็คเส้นทางและเช็คว่ามีมวลชนทราบเรื่องหรือไม่ เมื่อเช็คแล้วปกติดี ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย ใช้รถยนต์ส่วนตัว นำมาที่สำนักงานตำรวจ เราจึงได้ถามตำรวจว่าขั้นตอนต้องเป็นอย่างไรต่อไป ตำรวจบอกว่าให้ทางสำนักงานใหญ่ดำเนินการ นั่นยิ่งทำให้ระหว่างเดินทางไปสำนักงานตำรวจดังกล่าว ไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป

เมื่อเดินทางมาถึงสำนักงานตำรวจดังกล่าว ตำรวจที่คุมตัวจึงส่งมอบตัวเราตามขั้นตอนทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแจ้งว่ารอทหารเช็คข้อมูลอีกครั้ง โดยอาจจะต้องส่งตัวไปกองทัพบก ระหว่างนั่งรอความชัดเจน มีนายทหารเข้ามาพูดคุยเหมือนทักทายปกติว่ามาทำอะไรที่นี่ พอเราเล่าว่าถูกจับเรื่องอะไร ก็ทำเป็นสนใจว่าเราเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไรถึงถูกจับ แต่เป็นการพูดคุยเป็นปกติเหมือนคนถามไถ่ทั่วๆ ไป แต่เราสังเกตว่าเมื่อมีคนมาถ่ายรูป ทหารนายนี้จะออกอาการไม่ค่อยพอใจซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นหัวหน้าทหารที่ประจำ สำนักงานตำรวจ ซึ่งรู้จักเราดี ขณะที่รอ หากจะเข้าห้องน้ำต้องแจ้งตำรวจก่อน ส่วนญาติ เพื่อนและทนายความนั้น สามารถเข้ามาพูดคุย ทานข้าวด้วยกันได้ ใช้เวลานั่งรออยู่ถึง 4 ชั่วโมง

จากนั้นตำรวจมาแจ้งว่าจะเริ่มทำการสอบสวน เพราะทหารไม่เอาตัวแล้ว ตำรวจจึงนำตัวไปพิมพ์มือลายนิ้วมือทำประวัติ ในระหว่างการสอบสวนไม่มีการกดดันใดๆ เลย พูดคุยซักถามเกี่ยวกับประเด็นไม่มารายงานตัว ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีเชื่อมโยงหาใคร ตำรวจบอกว่าทุกอย่างทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่เมื่อเสร็จแล้วจะต้องเอาเข้าคณะกรรมการทำงาน ซึ่งในคณะกรรมการทำงานนั้นจะมีทหารร่วมด้วย สำหรับการจะสอบเพิ่ม สั่งฟ้อง ปล่อยตัว หรือตัดสินใจใดๆ นั้น เป็นเรื่องของคณะกรรมการทำงานเท่านั้น (แต่จากการสังเกต คาดว่าทหารจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ) หลังจากผ่านขั้นตอนการสอบสวนก็ส่งตัวเข้าห้องขังตำรวจทันที และแจ้งว่าพรุ่งนี้จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหาร
ชีวิตในห้องขัง... สภาพห้องขังที่มีห้องน้ำอยู่หลังห้อง ก่ออิฐมาแค่ครึ่งตัว เวลานั่งทำธุระก็จะเห็นหัวโผล่มานิดหน่อย เมื่อเข้าไปก็เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสามคนที่ถูกขังอยู่แล้ว การพูดคุยผ่านกรงขังจึงเริ่มขึ้น และแต่ละคนอยู่ในห้องขังของตัวเอง

เพื่อนคนแรกในห้องขังเล่าว่าเขาถูกทหารไปค้นบ้าน และเชิญตัวไปที่ค่ายทหารโดยรถยนต์ส่วนตัวของทหาร เมื่อขึ้นรถ ทหารให้ทดลองเอาหัวนิ้วมือชิดกันให้ทหารดูว่าสามารถทำได้หรือไม่ จากนั้นทหารก็นำพลาสติกรัดข้อนิ้วมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งนำถุงผ้าดำคลุมหัว และเขาถูกสอบสวนในประเด็นเกี่ยวกับข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันกษัตริย์
เขาเล่าว่าเขาดูเอกสารที่ทหารเอามาให้ดูเป็นข้อความที่เขาไม่เคยเขียน เขาจึงไม่ยอมรับ นอกจากนี้ทหารเอารูปถ่ายที่ระบุว่าเป็นตัวเขาที่ไปร่วมชุมนุมต้านรัฐประหาร มาให้เขาดู พร้อมกับสอบถามเขาว่าใช่ตัวเขาหรือไม่ ซึ่งเขาเล่าว่าเขายอมรับ ทหารจึงส่งตัวเขามาให้ตำรวจ จึงทำให้ถูกขังอยู่ที่นี่
เพื่อนร่วมห้องขังคนที่ 2 เล่าว่า ถูกตำรวจไปนำตัวมาจากที่ชุมนุมต้านรัฐประหารแห่งหนึ่งพร้อมเพื่อนๆ อีกหลายคน ซึ่งเพื่อนๆ ของเขาถูกปล่อยตัวไปหมดแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ถูกจับตัวมาด้วยกัน เขาเล่าด้วยว่าถูกตำรวจเรียกไปสอบสวนเอารูปถ่ายที่เขาเคยถ่ายกับนายจักรภพ เพ็ญแข มาให้ดู พร้อมสอบถามด้วยว่ารู้จักและไปเจอกันที่ไหน

คนที่ 3 เล่าว่า ทหารไปนำตัวเขามาจากบ้าน พร้อมกับใช้ผ้าปิดตามัดมือในระหว่างอยู่ในรถ มีการข่มขู่จะทำให้ตายด้วยหากไม่รับสารภาพว่ามีกองกำลังอาวุธ เขาเล่าด้วยว่า คนที่ควบคุมตัวเขานำของแข็งๆ มาจี้ที่เอว พร้อมกับบอกให้รับสารภาพว่ามีกองกำลังอยู่กี่คน นำภาพถ่ายที่เขาถือปืนมาถามว่าไปฝึกอาวุธกันที่ไหน เขาเล่าด้วยว่า ถูกควบคุมอยู่ 7 วัน จึงมาส่งเขามาให้ตำรวจดำเนินคดีละขังที่นี่
คืนนั้นในห้องขังพวกเราแต่ละคนพูดคุยปรับทุกข์กัน โดยไม่รู้ว่าเจอข้อหาอะไรกันบ้าง ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไรในชะตาชีวิตของแต่ละคน จะนอนก็นอนไม่หลับ ในห้องขังได้เอาเสื้อยึดของตัวเองมาหุ้มหมอนเก่าๆ ที่ถูกทิ้งไว้ มีผ้าขาวม้าปูพื้นของคนที่ถูกขังก่อนหน้านี้ทิ้งไว้ ในห้องขังแสงไฟเปิดตลอดเวลา เมื่อมองออกไปนอกห้องขัง เห็นเพื่อนร่วมชะตากรรม บางคนนั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์บ้าง มีคนเดียวที่นอนหลับแถมกรนเสียงดัง เวลาในคืนนั้นช่างนาวนานเหมือนโลกมันไม่หมุนเลย ทุกอย่างเงียบสงัด เรื่องราวต่างๆ ที่ทหารและตำรวจเล่าให้ฟังว่าห้องขังแห่งนี้มีสิ่งลี้ลับ ที่แต่ละคนได้เผชิญต่างกันไป แต่คืนนั้นเราก็ไม่พบอะไร

เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจมาเรียกให้เราเตรียมตัวเพื่อไปศาลทหาร เรามองเพื่อนคนอื่นๆ ว่าพวกเขาจะได้ไปกันเมื่อไหร่ วันไหน ซึ่งต่างคนต่างไม่ทราบชะตากรรมกันเลย
เมื่อเราเตรียมพร้อม ออกจากห้องขัง และไปพบนายตำรวจและนายทหารที่ห้อง นายทหารบอกว่าให้เราเขียนจดหมายถึงหัวหน้า คสช. ซึ่งทุกคนขณะนั้นต้องเขียน แต่เนื้อหาในจดหมายเป็นเรื่องของเราเองที่อยากจะเขียน ทหารบอกว่าต้องการนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้หัวหน้า พร้อมเตรียมกระดาษและซองให้เรียบร้อย เราตัดสินใจเขียนจดหมาย 1 หน้า และส่งให้นายทหารท่านนั้นก่อนไปศาลทหาร
การเดินทางไปศาลทหารนั้น ทหารได้ควบคุมตัวขึ้นรถทหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถแบบนี้ รู้สึกแปลกๆ โดยตำรวจบอกด้วยว่าไปศาลทหารเพื่อขอฝากขัง เมื่อเสร็จขั้นตอนที่ศาลทหาร ตำรวจและทหารจะใช้รถตำรวจพาตัวไปที่เรือนจำเพื่อรอหมายปล่อยตัวชั่วคราวจาก ศาลทหาร
ในระหว่างที่อยู่ในรถ ทหารที่คุมตัวมาได้รับโทรศัพท์ ทหารคนนั้นพูดว่า “นายครับคนนี้เรียบร้อยดี วันนี้ยังไม่ต้องไปพบนายเดี่ยวผมจะพาไปอีกวัน”

ก่อนจะเข้าเรือนจำ ทหารคนเดิมบอกว่าในการรายงานตัวที่ศาลทหารในครั้งหน้า จะพาตัวไปคุยกับนาย (เข้าใจว่าน่าจะเป็นนายทหารระดับสูงท่านหนึ่ง)
ขั้นตอนต่างๆ ในเรือนจำเราถูกปฏิบัติเหมือนนักโทษทั่วไปไม่มีความแตกต่าง เพราะเราถูกมองเป็นนักโทษที่มีความผิดร้ายแรงไปซะแล้ว!!!
เรากลายเป็นอาชญากรที่ทำประวัติบันทึกไว้ในเรือนจำแห่งนี้ไปแล้ว
- แอนน์ แฟรงค์  

กลับไปอ่านตอนที่ 1

No comments:

Post a Comment