สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ในโอกาสครบรอบ 64 ปี : กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 อธิบายแบบสรุปสั้นๆ ง่ายๆที่สุด: ทำไมไม่ใช่ปรีดี-คนของปรีดี
อ้อ ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ผมพบคือ บางตัวพยัญชนะ มันออกมาแปลกๆ แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ (ผมพิมพ์ใน notepad ก่อน ส่วนใหญ่ ยกเว้นข้อความ "หมายเหตุ" นี้) ทำให้บางตอนอ่านยากสักหน่อย ต้องขออภัยด้วย
ในโอกาสครบรอบ 64 ปี : กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 อธิบายแบบสรุปสั้นๆ ง่ายๆที่สุด: ทำไมไม่ใช่ปรีดี-คนของปรีดี
เวลานักวิชาการเขียนถึงกรณีสวรรคต เรามักจะเห็นคำพูดทำนอง "ลึกลับ" "อธิบายยาก" ฯลฯ
อันที่จริง ใครที่พูดแบบนี้ แสดงว่า ไม่เคยสนใจศึกษากรณีนี้เลย
จริงที่วา มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ (และแทบทุกครั้งที่ออกมา ก็ยังขายดีจนทุกวันนี้)
แต่ส่วนที่เป็น "แก่น" จริงๆของกรณีนี้ มีไม่มากเลย และ ไม่ได้ยากที่จะทำความเข้าใจด้วย
ผมขอสรุปให้เห็นง่ายๆสั้นๆ เป็นประเด็นๆ ดังนี้
(1) ในหลวงอานันท์ยิงตัวเองหรือคนอื่นยิง? - ตอบ คนอื่นยิง
ประเด็นสำคัญที่สุดอันดับแรก ของกรณีนี้คือ ในหลวงอานันท์ยิงตัวเอง (ไม่ว่าจะตั้งใจ คือ ฆ่าตัวตาย หรือ ไม่ตั้งใจ คือ "อุบัติเหตุ") หรือว่า ถูกคนอื่นยิง (ไม่ว่าจะตั้งใจ คือ "ฆาตรกรรม" หรือ ไม่ตั้งใจ คือ "อุบัติเหตุ")
ตำแหน่งของกระสุน อยู่ที่หน้าผาก เหนือคิ้วซ้าย เฉียงจากบนลงล่่าง กระสุนทะลุบริเวณใกล้ท้ายทอย
กระบอกปืนเมื่อลั่นเกือบจะประชิดผิวหนัง (มีรอยเขม่า) เรียกภาษาชาวบ้านว่า เกือบจะ "ยิงเผาขน"
ในหลวงอานันท์ เป็นคนถนัดขวา ไมใช่ถนัดซ้าย
ดังนั้น ถ้าในหลวงอานันท์ยิงตัวเอง จะต้องจับปืนในลักษณะกำสองมือ หันปากกระบอกปืนย้อนเข้าหาหน้าผากตัวเอง งอยกศอกเฉียงขึ้นไปทางหัวเตียง และน้ำหนักของแขนสองข้างทีงอศอกนี้ จะต้องเอียงไปทางซ้าย (ทางทีตัวเองไม่ถนัด) แล้วลั่นไกด้วยนิ้วโป้ง
ไม่มีใครที่ยิงตัวเองในท่านี้ ไม่ว่าจะตั้งใจฆ่าตัวเอง หรือ ยิงโดยอุบัตเหตุ (ยิ่งกรณีหลังนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ดังที่มีคนสมัยนั้นคนนึงกล่าวว่า ไมมีใครเอาปืนไปส่องที่หน้าผากเหนือคิ้วตัวเอง แล้วเผลอลั่นไก)
สรุปแล้ว ไม่มีทางที่ในหลวงอานันท์จะยิงตัวเอง
(ความจริงมีเหตุผลประกอบอีก แต่เป็นเหตุผลทีไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ เพราะเป็นประเด็นทางการแพทย์ที่เถียงกัน คือ ถ้าคนที่ยิงตัวเองตาย โดยเฉพาะในกรณีในหลวงอานันท์ กระสุนตัดเส้นปราสาททันที จะทำให้ไม่มีกระแสประสาทส่งมาที่กล้ามเนื้อในร่างกายอีกทันที ดังนั้น ถ้ามือและแขนอยู่ในท่าใด จะต้อง "ค้าง" อยู่ในท่านั้น แต่พระศพในหลวงอานันท์ อยู่ในท่านอนปกติ แขนแนบลำตัว 2 ข้าง ไม่มีการยกงอ เหมือนถือปืนค้างไว้ ตอนกระสุนแล่นตัดเส้นปราสาทแต่อย่างใด ศัพท์เฉพาะเรียกอาการนี้ว่า "คาเดอวาริคสปัสซั่ม"
สรุปแล้ว ในหลวงอานันท์ต้องถูกคนอื่นยิงแน่นอน
(ในการทดลองจำลองการยิง จากตำแหน่งและวิถีกระสุน ถ้าให้คนอื่น ยืนยิงจากด้านหัวเตียง คือ เดินเข้าหาในหลวงอานันท์ที่กำลังนอนอยู่ ทางด้านพระเศียร แล้วจ่อปืนเข้ากับหน้าผากด้านซ้าย แล้วลั่นไก จะได้ตำแหน่งและวิถีกระสุนตามที่เป็นจริงในพระศพ เรียกว่า "fit perfectly" คือ ตรงตามสภาพอย่างสมบูรณ์ สรุปคือ ที่เป็นไปได้มากที่สุด เป็นเช่นนั้น : มีคนอื่น เดินเข้าหาในหลวงอานันท์จากด้านพระเศียร แล้วจ่อปืนใกล้หน้าผากซ้าย แล้วลั่นไก)
(2) ปรีดี-คนของปรีดี เป็นคนอื่นที่มายิง ได้หรือไม่? - ตอบ เป็นไปไม่ได้
จากข้อ (1) เมื่อสรุปว่า คนอื่นยิง, ใครคือ คนอื่น ทีว่านี้?
คนที่ถูกกล่าวหามากที่สุด คือ ปรีดี หรือพูดให้เจาะจงลงไปคือ ลูกน้องปรีดี คือ วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ซึ่งเป็น "บอดี้การ์ด" ของปรีดี
แต่ ปรีดี-คนของปรีดี ไม่สามารถเป็นคนอื่นที่ยิงในหลวงอานันท์ได้ ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
ก่อนอื่น มีข้อมูลหนึ่งเกี่ยวกับคดีนี้ ที่สำคัญมากๆ (และที่จริง เป็นปัจจัยทีทำให้คดีนี้ หาได้ยากเย็นในการอธิบายอย่างที่อ้างกัน) คือ
ขณะเกิดเสียงปืนที่ทำให้ในหลวงอานันท์สวรรคตนั้น มีอยู่ทางเดียว หรือประตูเดียวเท่านั้นที่เข้าไปในห้องนอนในหลวงอานันท์ได้ (ประตูอื่นๆปิดลงกลอนหมด) และขณะเกิดเสียงปืนนั้น ทางเข้าทางเดียวนี้ คือ หน้าประตูทางเข้านี้ มีมหาดเล็ก 2 คน คือ ชิต สิงหเสนีย์ และ บุศย์ ปัทมศริน นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ถ้ามีคนอื่นเข้าไปยิงในหลวงอานันท์ คนนั้น จะต้องเดินผ่านมหาดเล็ก 2 คนนี้แน่นอน
แต่มหาดเล็กทั้งคู่ให้การว่า ไม่มีใครเดินเข้าไปในห้องนอนในหลวงอานันท์ขณะเกิดเสียงปืนเลย
หมายความว่า ถ้ามีคนอื่นเข้าไปยิงในหลวงอานันท์ มหาดเล็ก 2 คนนั้น จะต้องโกหกหรือ ไม่พูดความจริง แน่นอนเช่นกัน
ถ้าปรีดี-วัชรชัย คือคนอื่นที่เข้าไปยิง ก็หมายความว่า ชิต-บุศย์ พูดโกหก/ไม่พูดความจริง ให้แทน ปรีดี-วัชรชัย
แต่กรณีนี้ เป็นไปไม่ได้ ดังนี้
- ไม่มีหลักฐานเลยว่า ปรีดี-วัชรชัย สัมพันธ์ รู้จัก หรือติดต่ออะไรกับมหาดเล็กทั้งคู่เลย หลักฐานที่มีอยู่ยืนยันแต่ว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ (นอกจากการที่มหาดเล็กจะรู้จักปรีดีในฐานะนายกฯ)
- ถ้ามหาดเล็กทั้งคู่ โกหก/ไม่พูดความจริง แทนให้ปรีดีจริง แสดงว่า ต้องถูก "ซื้อตัว" ในทางใดทางหนึ่ง
แต่มหาดเล็กทั้งคู่ มาจากครอบครัวที่เป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดมาหลายชั่วคน มิหนำซ้ำ ยังเคยเลี้ยงดูในหลวงอานันท์มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ (เคยให้ทรงขี่คอเล่นเป็นม้า เป็นต้น) ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของหลักฐานเลยว่า มหาดเล็กเช่นนี้จะ ยอมให้ถูก "ซื้อตัว" เพื่อฆ่ากษัตริย์ได้เลย
ในการตัดสินคดี ศาลกล่าวในคำพิพากษาทำนองเป็นภาษิตว่า คนเรารู้จักหน้า รู้จักตัว แต่ไม่รู้จักใจ ทำนองว่า ใครจะไปรู้ได้ว่า มหาดเล็กที่ดูๆจากพื้นฐานครอบครัว และความเป็นมาในการรับใช้ใกล้ชิด ไม่น่าจะ "ขายตัว" ร่วมมือกันฆ่ากษัตริย์ได้นั้น จริงๆแล้วอาจจะทำก็ได้ เพราะไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจได้ แต่เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้การอ่านใจ ใช้แค่หลักฐานต่างๆ ก็พอ ไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่แสดงให้เห็นไปทางนัน ตรงข้าม หลักฐานที่มีอยู่ ยืนยันไปในทางที่มหาดเล็กเป็นข้ารับใช้ที่จงรักภักดีอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น ถ้าคนอื่นที่ไปยิงในหลวงอานันท์ถึงในห้องนอน นอกจากจะต้อง "ซื้อตัว" มหาดเล็กได้แล้ว ที่สำคัญ ยังจะต้องเดินเข้าไปในตัวห้องนอน ให้ถึงพระแท่นบรรทม แล้วยังจะต้องยิงในหลวงอานันท์อีก ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ คนอื่นทีทำเช่นนั้น จะเป็น คนของปรีดี (วัชรชัย) ด้วยเหตุผลดังนี้
- ในหลวงอานันท์ตื่นนอนแล้ว รู้ตัวแล้ว (เข้าห้องน้ำมาแล้วด้วย) ดังนั้น ถ้าจู่ๆ คนอื่นที่เป็น "คนนอก" อย่างวัชรชัย เดินเข้าไปในห้องนอนของพระองค์ พระองค์จะต้องรู้สึกตัว ตกพระทัย และต้องมีพระอาการไม่ปกติแน่นอน (ซึ่งจะแสดงออกมาให้เห็นในพระอาการของพระบรมศพ ที่จะต้องไม่ใช่ดังที่เป็นอยู่)
และอย่าลืมว่า ปืนที่ยิงในหลวงอานันท์นั้น จ่อติดกับหน้าผาก
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ในหลวงอานันท์ที่ตื่นและรู้พระองค์แล้ว จะทรงนอนนิ่งเฉยๆ ในท่านอนปกติ ปล่อยให้คนแปลกหน้า หรือคนที่ไม่มีหน้าที่ต้องไปอยู่ในห้องนอนพระองค์ขณะนั้น ไปเอาปืนจ่อเข้าไปที่ใกล้หน้าผาก แล้วลั่นไก
ยิ่งกว่านั้น ตามหลักฐาน มุ้งที่กางอยู่ ได้ถูกเลิกขึ้นมาด้วย หมายความว่า ถ้าเป็นคนอื่น เช่นวัชรชัย จะต้องเปิดมุ้งขึ้นก่อน แล้วเอาปืนจ่อติดหน้าผาก ในหลวงอานันท์ยิ่งต้องรู้พระองค์ และต้องทรงมีท่าทางเปลี่ยนไปจากการนอนปกติ
ในกรณีวัชรชัย ยังมีข้อมูลอีกชิ้นหนึ่ง ที่สนับสนุนว่า เป็นไปไม่ได้ คือ วัชรชัย เป็นคนตัวเตี้ย และที่หัวเตียงมี พะนักหัวเตียงยื่นขึ้นมา ถ้าเป็นวัชรชัย เขาจะต้องเหยียดแขนข้ามพะนักหัวเตียง เอาปืนไปจ่อที่หน้าผาก ด้วยความที่เป็นคนตัวเตี้ย จะทำแบบนั้น ลำบากมาก
สรุปแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้เลยที่คนอื่นที่ยิงในหลวงอานันท์ จะเป็นปรีดี-คนของปรีดี
เหตุผลทีใช้ในการปฏิเสธความเป็นไปได้ในเรื่องปรีดี-คนของปรีดี นี้ ความจริง สามารถใช้ประยุกต์ ได้กับกรณีอื่นๆด้วย เช่น ถ้าถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็น จอมพล ป. หรือคนของ จอมพล ป., หรือเป็น "คนนอก" ไปเลย เช่น "สายลับชาวญี่่ปุ่น" (ตามที่ฝรั่งคนเขียน "นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ" อ้าง)? คำตอบก็เหมือนกับกรณีปรีดี-คนของปรีดี คือ เป็นไปไม่ได้ ("สายลับชาวญี่ปุ่น" จะสามารถสัมพันธ์ ติดต่อ "ซื้อตัว" ให้มหาดเล็กพูดโกหก/ไม่พูดความจริง แทนเขาได้อย่างไร?)
ในเมื่อคนอื่นที่ยิงในหลวงอานันท์ ไมใช่ปรีดี-คนของปรีดี (หรือจอมพล ป. หรือ "สายลับชาวญี่ปุ่น" ฯลฯ) แล้ว จะเป็นใครได้ ? - ผมไม่ขอตอบ
ปล. บรรดาพวกนิยมเจ้าที่เป็นศัตรูกับปรีดี เนื่องจากตระหนักว่า หลักฐานกล่าวหาปรีดี อ่อนมาก ได้พยายามสร้างเรื่องมาปรักปรำเพิ่มเติม โดยยกกรณี "การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์" เกี่ยวกับปืนและกระสุนปืนที่ใช้ยิง (อ้างว่า ปืนที่พบ และกระสุนที่พบ ไมใช่ "ของจริง" เพื่อทำให้เกิดความคลางแคลงใจว่า เป็นการวางแผนมาซับซ้อนจากภายนอก) แต่ "หลักฐาน" ในเรื่องการพิสูจน์ปืนและกระสุนปืนดังกล่าว ความจริง อ่อนมากๆ ผู้สนใจขอให้ดู "คำโต้แย้งคำพิพากษากรณีสวรรคต" ที่เขียนโดยตุลาการเสียงข้างน้อยของศาลอุทธรณ์ คุณหลวงปริพนธ์พจนพิสุจน์ ในที่นี้ ผมไม่ยกเรื่องนี้มาอภิปราย เนื่องจากว่า เรื่องนี้ ไมจำเป็นเลยในการโต้แย้งความเป็นไปได้ ของการที่ปรีดี หรือคนของปรีดี จะเป็นคนอื่นที่เข้าไปยิง คือ เหตุผลเฉพาะที่ยกมาข้างต้น ก็เพียงพอแล้ว เพราะยังไง ถ้าเป็นคนของปรีดี ก็ยังต้องเดินผ่านมหาดเล็กเข้าไป ต้องเอาปืนไปยิงที่หน้าผาก โดยที่ในหลวงอานันท์ ไม่มีท่าทีเปลี่ยนจากการนอนปกติ ฯลฯ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) อยุ่นั่นเอง พูดง่ายๆคือ ลำพังเรื่องที่พูดข้างต้น ก็พอแล้วที่จะปฏิเสธว่า ไมใช่คนของปรีดี แน่นอน การยกเรื่อง "การทดลองวิทยาศาสตร์" เรื่องกระสุนปืน ของพวกนิยมเจ้าศัตรูปรีดีนี้ ยังมีเป้าหมายอื่นอีก (นอกจากการปรักปรำปรีดี) แต่ผมไม่ขออภิปรายในที่นี้เช่นกัน
No comments:
Post a Comment