Thursday, February 26, 2015

หนังสือ ข้อเท็จจริงกรณีสวรรคต รัชกาลที่8 ฉบับสมบูรณ์ - สุพจน์ คนด่านตะกูล(ต้องห้าม)

หนังสือ ข้อเท็จจริงกรณีสวรรคต รัชกาลที่8 ฉบับสมบูรณ์ - สุพจน์ คนด่านตะกูล(ต้องห้าม)


 เป็นหนังสือที่รวบรวมเอกสารลับและ ประกอบคำให้การของพยานทั้ง6ในวันเกิดเหตุ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน และคำวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งหาไม่ได้จากหนังสือเล่มใดที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคต

http://www.mediafire.com/…/หนังสือ_ข้อเท็จจริงกรณีสวรรคต_-ส…

เนื่องจากรัชกาลที่ 7 ไม่มีพระอนุชา ไม่มีพระโอรสและธิดา ตามกฎมณเฑียรบาลการสืบราชสันตติวงศ์ จะต้องกระทำโดยการสืบเชื้อพระวงศ์จากวงในสุดออกมา ซึ่งท่านแรกคือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่เนื่องจากท่านมีแม่เป็นชาวรัสเซีย มีพระชายา(ภรรยา)เป็นชาวอังกฤษ เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล จึงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ องค์ถัดมาคือ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช แต่เนื่องจากมีพระชายา(ภรรยา)เป็นชาวตะวันตก จึงไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน
ตำแหน่งจึงตกมาอยู่กับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลในที่สุดอันที่จริงพระองค์เจ้า อานันทมหิดล และพระองค์เจ้าภูมิพล มีพ่อคือกรมหลวงสงขลานครินทร์กับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ลูกจีน ลูกที่เกิดมาจึงมีศักดิ์เป็นเพียงหม่อมเจ้าเท่านั้น แต่เนื่องจากกรมหลวงสงขลาฯเป็นบิดาทางการแพทย์ สร้างคุณงามความดีไว้มาก รัชกาลที่ 7 จึงโปรดเกล้าฯให้ลูกของกรมหลวงสงขลาเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า เพื่อตอบแทนที่กรมหลวงสงขลาฯต้องสิ้นพระชนม์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ในการบุกเบิก การแพทย์ไทย เมื่อครั้งที่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นกษัตริย์ พระองค์มีอายุเพียง 9 พรรษาเท่านั้นและกำลังศึกษาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ รัชกาลที่ 8 เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้น ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมามาก โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการปกครอง ถึงแม้พระองค์จะได้ชื่อว่ามีเชื้อสายกษัตริย์ แต่ก็มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการปกครองตนเอง อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากการสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ 7 จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติและเลิกล้มระบบกษัตริย์ เพราะเห็นว่ายุคนี้การเป็นกษัตริย์นั้น เป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยพระองค์จะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง
เรื่องนี้อาจทำให้ราชวงศ์ไม่สบายพระทัยมาก ทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นได้ เหตุการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ รัชกาลที่ 8 ทรงเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะเค้าโครงเศรษฐกิจของชาติที่มีเนื้อหาการจัดระบบสหกรณ์ และการปฏิรูปที่ดินอย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ และเรื่องนี้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของพวกศักดินาอย่างรุนแรง เพราะพวกศักดินาเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไทย พวกศักดินาจึงใส่ร้ายหาว่า ดร.ปรีดี เป็นภัยต่อสถาบัน
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มที่เลือดรักชาติแรงกล้าและเห็นใจ ประชาชนเป็นพื้น จึงทรงออกนั่งตุลาการด้วยตนเอง ทั้งยังออกเยี่ยมประชาชน อยู่เนืองๆ เช่น คนจีนที่สำเพ็ง ซึ่งปรากฏว่าชาวจีนถวายความนับถือและจงรักภักดีมาก การออกเยี่ยมตามที่ต่างๆทำให้พระองค์ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ความคิดของพระองค์ ยิ่งขัดแย้งกับพวกศักดินามากขึ้นเป็นลำดับ
ราชวงศ์จึงมีความหวาดประหวั่นและยอมไม่ได้ที่พระองค์มีแนวโน้มว่าอาจจะลาออก หรือยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียงและผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ที่จะดลบันดาลความสุขสบายแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลไปตลอดชาติต้องอันตรธานใน พริบตา นอกจากนี้ยังมีข่าวลือความขัดแย้งอื่นๆ ข่าวลือเรื่องการคิดจะแต่งงานใหม่ของราชวงศ์ชั้นสูงที่เป็นหม้ายเมื่อยังสาว รวมถึงข่าวลือเรื่องชู้สาว จนนำไปสู่ความขัดแย้งภายในราชวงศ์ที่เริ่มประทุมากขึ้น และการชิงดีชิงเด่นเพื่ออำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาลซึ่งเป็นปกตินิสัยของ พวกศักดินาที่มีมาโดยตลอดหลายชั่วอายุคน...
โดยปกติวิสัยของรัชกาลที่ 8 ชอบสะสมปืนมาก และมีปืนของรัชกาลที่ 8 อยู่กระบอกหนึ่งซึ่งไกปืนอ่อนมาก และราชวงศ์บางท่านชอบเอาปืนไปจี้คนนั้นคนนี้ บางครั้งเอาปืนมาจ่อรัชกาลที่ 8 ทำท่ายิงเล่นๆ จนผู้คนในวังเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น
เมื่อเวลา 8.30 น. ของวันที่ 9 มิถุนายน 2489...... เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากห้องบรรทม ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที นายชิต ยามมหาดเล็ก วิ่งหน้าตื่นไปทูลพระราชชนนีว่า “ ในหลวงทรงยิงพระองค์ ” การสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 8 นั้น ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา สรุปตรงกันว่า เกิดโดยการลอบปลงพระชนม์ มิใช่การปลงพระชนม์เอง เพราะว่าแผลที่ทำให้พระองค์สวรรคตอยู่ที่หน้าผาก กระสุนทะลุออกทางท้ายทอย ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เพราะผู้ที่อัตวินิบาตกรรม ส่วนมากจะยิงขมับและหัวใจเท่านั้น นอกจากนี้ นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ยังให้ความเห็นว่า แผลของพระองค์เกิดจากการอัตวินิบาตกรรมไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนเฉียงลง ผู้ที่ยิงตนเอง ต้องยกด้ามปืน หันปากกระบอกปืนลง เป็นของทำได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสังเกตดังนี้
1. ผู้ที่ฆ่า คงมิใช่บุคคลอื่นที่อยู่นอกพระที่นั่งบรมพิมาน เพราะว่าได้มีการจัดทหาร ตำรวจวัง ล้อมรอบพระที่นั่งอย่างเข้มงวด รัชกาลที่ 8 สิ้นพระชนม์ในเวลา 9โมงเศษ ซึ่งในเวลานั้นจะมีผู้คนพลุกพล่านบนพระที่นั่ง
แล้วหลังจากที่ถูกยิงแล้ว คณะแพทย์ส่วนใหญ่ได้ตรวจพระศพ และวินิจฉัยว่าแผลที่เกิดจากการยิงห่างจากหน้าผากไม่เกิน 5 ซม. แสดงว่าผู้ที่ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงไปที่หน้าผาก ทั้งนี้เมื่อตรวจมุ้งของรัชกาลที่ 8 แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีรอยทะลุ แสดงว่าผู้ร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิงในหลวง โดยที่ “ผู้ที่ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว” จึงจะทำได้สะดวก เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลมีระยะห่างกันถึง 66 ซม. ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้ จะเห็นว่าถ้าผู้ร้ายเป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่สนิทสนมกับรัชกาลที่ 8 มากๆแล้ว จะกระทำการดังกล่าวไม่ได้เลย เพราะเป็นการเสี่ยงภัยและไม่มีทางสำเร็จ เพราะพระองค์นอนตั้งแต่เวลา3ทุ่มของคืนวันที่ 8 มิ.ย. จนตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 9 มิ.ย. และเข้านอนถึงสองระยะย่อมหลับไม่สนิท เพราะปกติในหลวงไม่เคยตื่นสายกว่า 8.30 น. เลย ดังนั้นถ้ามีคนเลิกมุ้งย่อมมีเสียง เพราะมุ้งมีเหล็กทับอยู่ ทำให้พระองค์ต้องรู้ตัวก่อนที่ผู้ร้ายจะทำการได้
นอกจากนี้ถ้ามีผู้ร้ายภายนอกแอบเข้าไปในห้องบรรทม ก็ต้องเข้าไปในเวลากลางคืนและยิงในเวลานั้นเลย เพราะปลอดคน ทั้งหนีสะดวก มิใช่รอจนเวลาเช้าจึงยิง อันจะทำให้ต้องแอบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยมากกว่า และหากมีผู้ร้ายซ่อนตัวอยู่จริง ย่อมไม่อาจรอดสายตาพระชนนี และมหาดเล็กที่เข้าไปถวายน้ำมันละหุ่งให้รัชกาลที่ 8 ได้
2. ตามธรรมดานั้น ปรากฏในประวัติศาสตร์เสมอมาว่า มีการปลงพระชนม์เพื่อชิงราชสมบัติ ประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ 8 ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากกรณีสวรรคต ทั้งในด้านลาภยศและทรัพย์ศฤงคาร
3. คำให้การ มีพิรุธมากเพราะ-ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่พระอนุชา (รัชกาลที่9) และพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
-พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ (ภายหลังได้เป็นท้าวอินทรสุริยา) นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9 ) 20 นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบพระอนุชา(รัชกาลที่9) ในห้องนั้นเลย
-พระอนุชา(รัชกาลที่ 9)บอกให้กรมขุนชัยนาทฯ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน ขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
- นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9)ให้การว่า แม้ห้องนอนของพระอนุชา มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้าพระอนุชา ต้องการจะเข้าห้องเครื่องเล่น จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่อง มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของพระอนุชา
การที่พระอนุชา (รัชกาลที่ 9) ให้การว่าตนเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องเครื่องเล่นกับห้องนอนตนเองนั้นน่าจะเป็นพิรุธ โดยปกติเมื่อ กินข้าวเช้าอิ่ม ท่านอาจจะเดินไปถึงหน้าห้องบรรทมของในหลวง(รัชกาลที่ 8) ก่อนเสียงปืนไม่นานนักและเข้าไปในห้องนั้น โดยที่นายชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะตามคำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่องนั้น ปรากฏว่าพี่น้องคู่นี้นั้น ถ้าผู้ใดตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วเย้าอีกคนหนึ่งให้ตื่น ฉะนั้นนายชิตและบุศย์ ย่อมไม่สงสัยว่าเหตุใดพระอนุชาจึงเข้าไปในห้องในหลวง
ปัญหาสุดท้ายก็คือ จะเป็นเรื่องอุบัติเหตุได้หรือไม่ ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะถ้าเป็นการเอาปืนล้อกันเล่น ก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับเข้าไปที่หน้าผากเป็นอันขาด ( ตามการตรวจแผลของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ) เพราะน่าจะย่อมรู้เหมือนกับคนอื่นทั่วไปว่า ปืนกระบอกนั้นไกอ่อน ถ้ากระชับปืนเข้าที่หน้าผากขนาดนั้น ย่อมเป็นการเสี่ยงภัยจนเกินไป สำหรับคำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจ ที่เฝ้าเครื่องเสวยอยู่มุขหน้านั้น เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการโกหกของตนเอง นายฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวน ก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากสันติบาลวันละ 3 บาท นอกจากนี้หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ฐานหย่อนความสามารถเมื่อเดือน ม.ค. 2491 ก็ยังได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของพนักงานสอบสวน ข้อที่ชี้ชัดได้ว่านายฉลาดโกหกก็คือ การที่นายฉลาด บอกว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องบรรทมเลย นี่เป็นการโกหกชัดๆ เพราะเมื่อมีการปลงพระชนม์เกิดขึ้นแล้ว ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมอยู่เป็นเหยื่อในห้องบรรทม จะต้องวิ่งหนีออกจากห้องนั้น
ส่วนนายชิตกับนายบุศย์นั้น ตกอยู่ในฐานะน้ำท่วมปาก พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้าง รัฐบาลเลือกตั้ง ผลจากรัฐประหารทำให้พระพินิจชนคดี ซึ่งเป็นพวกของฝ่ายศักดินาได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดำเนินการสอบสวน นายชิตเองถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกศักดินาและพระพินิจฯ จะต้องเล่นงานพวกนายปรีดี พนมยงค์ให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว จึงยอมสงบปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยที่สุด ทั้งคู่น่าจะได้รับคำรับรองจากศักดินาว่า ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต น่าจะได้รับการอภัยโทษ แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ นายชิตและนายบุศย์ไม่ได้รับความปรานีแต่อย่างใด หลังจากที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา ก็ไม่ได้รับการพิจารณา
จอมพล ป. เล่าว่าตนเอง ได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึง 3 ครั้ง แต่ท่าน ( รัชกาลที่ 9 ) ไม่ทรงโปรด อย่างไรก็ดี พวกศักดินาก็ฉลาดพอที่จะส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวผู้สิ้นชีวิตโวยวาย ซึ่งเรื่องนี้ นายปรีดี พนมยงค์ได้เปิดโปงไว้ในคำฟ้องคดีที่นายชาลี เอี่ยมกระสินธ์ หมิ่นประมาทนายปรีดีว่าครอบครัวผู้ตายได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากพระ ราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งพวกศักดินาก็ไม่กล้าโต้ตอบแต่อย่างใด
4. อำนาจมืดอันเกิดจากการรัฐประหารด้วยปืนของผิน ชุณหะวัณ แผ่ซ่านไปทั่ว มีความพยายามที่จะปกป้องพวกเดียวกัน และโยนบาปไปให้พวกของนายปรีดี พนมยงศ์ โดยการใช้วิธีการทุกอย่าง เช่น
-มีการสร้างพยานเท็จว่า ดร.ปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ 8 ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้
ในภายหลัง นายตี๋ ศรีสุวรรณ ยอมรับกับท่านปัญญานันทะ ภิกขุว่าตนให้การเท็จ นอกจากนี้ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ทั้งๆที่นายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี พอที่นายปรีดีจะพูดความลับ อันเป็นความเป็นความตายด้วย
-มีการทำลายหลักฐานต่างๆที่จะผูกมัดฆาตกร ในภายหลัง เช่น การสั่งให้พระพี่เลี้ยงเนื่อง ทำความสะอาดพระศพ แล้วยังให้หมอนิตย์ เวชวิศิษฐ์ เย็บบาดแผล เท่ากับเป็นการทำลายหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีการผลัดเสื้อผ้าพระศพ โดยเฉพาะหมอนนั้นถูกนำไปฝัง หลังรัชกาลที่ 8 สวรรคตไปแล้ว 10 วัน ซึ่งพระยาชาติเดชอุดม เลขาธิการพระราชวังให้การว่าจะทำเช่นนี้ได้ต้องมี ผู้ใหญ่สั่ง มีการเคลื่อนย้ายพระศพรัชกาลที่ 8 ออกไปและมีผู้ยกเอาพระศพไปไว้
บนเก้าอี้โซฟาแทน การแตะต้องพระบรมศพนั้น มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายผู้ใหญ่ก่อนเท่านั้น
เมื่อรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนที่จะถูกรัฐประหาร จะชันสูตรพระศพรัชกาลที่ 8 กลับถูกคัดค้านจาก กรมขุนชัยนาทและพระชนนีจนกระทำไม่ได้ แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือผู้ต้องสงสัย
และโยนความผิดให้ผู้อื่น ดังจะเห็นได้ว่า
-มีเพียงสองคนเท่านั้นในคดีนี้ ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ เมื่อปรากฏว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย ผลต่อมาปรากฏว่านายตำรวจผู้นั้นถูกสั่งปลดออกจากราชการ (พระอนุชาหรือรัชกาลที่ 9 และพระชนนีที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ)
-ศาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามประมวลวิธีความอาญาซึ่งกำหนดว่า การซักค้านพยาน อันจะเกิดความเสียหายต่อจำเลย ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลกลับเดินเผชิญสืบผู้ต้องสงสัยบางรายที่สวิสเซอร์แลนด์ (พระอนุชาหรือรัชกาลที่ 9 และพระชนนี) ในวันที่ 12 และ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้านด้วย แม้ผู้ต้องสงสัย ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้
นอกจากนี้ศาลฎีกายังหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามประมวลวิธีความอาญา เพราะว่าตามปกตินั้น คดีสำคัญๆจะต้องนำไปให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่คดีสวรรคตเป็นคดีที่สำคัญกว่าคดีทั้งปวงในประวัติศาสตร์ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกากลับไม่ได้วินิจฉัย มีเพียงผู้พิพากษา 5 คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี ที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ ก็เพราะไม่อยากให้มีผู้ที่จับได้ไล่ทัน และทำการคัดค้านนั่นเอง
- เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวผู้ต้องสงสัยบางราย ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งคนผู้นี้ ศาลฎีกาไม่สามารถกล่าวออกมาได้ว่า เกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตอย่างไร นอกจากอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีความใกล้ชิดกับนายปรีดี กระทั่งฆาตกรศาลก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ศาลกลับให้ฆ่านายเฉลียวเพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี
เมื่อการสะสางคดีนี้จบลง โดยการมีแพะรับบาป ต้องคำพิพากษาประหารชีวิต 3 คนคือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน นายเฉลียว ปทุมรส ผู้ต้องสงสัยก็ได้หลบไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราวระยะหนึ่งจึงกลับ เพื่อเป็นการหนีเสียงครหานินทาของประชาชน ก่อนที่คนทั้ง 3 จะถูกประหารชีวิต คนหนึ่งได้ขอพบเผ่า ศรียานนท์เป็นการส่วนตัว เผ่าก็คงจะบอกความลับนี้แก่ แปลก(จอมพลป.พิบูลสงคราม)และประภาส จารุเสถียร
การกำจัดรัชกาลที่ 8 นั้น นับว่าเป็นการยิงทีเดียวได้นก 2 ตัว คือ นอกจากจัดการกับรัชกาลที่ 8 ได้แล้ว ยังได้กำจัด ดร.ปรีดีซึ่งเป็นต้นตอทำลายผลประโยชน์ของพวกกลุ่มศักดินาอีกด้วย ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมืองไป ตั้งแต่ปี และได้ถึงแก่กรรมในต่างประเทศในที่สุด ส่วนเมียของ ร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชผู้ถูกระบุว่าเป็นมือปืน แล้วหนีตาม ดร.ปรีดีไปอยู่เมืองนอก ชื่อชะอุ่ม กลับได้รับตำแหน่งหัวหน้าแม่ครัวในวังสวนจิตรลดา ลูกทุกคนได้รับการส่งเสียให้เงินทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ และตัว ร.ท.สิทธิชัยเองก็กลับมาอยู่อาศัยที่ลาดพร้าว ซอย 101อย่างสุขสบาย โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องทำมาหากินแต่อย่างใด หากเขาเป็นฆาตกรจริง ทำไมจึงยังทรงไว้วางพระทัยในตัวแม่ครัวปัจจุบัน และเหตุใดจึงไม่ให้มีการลงโทษตามตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเล่นงานนายชิตและนายบุศย์ หลักฐานจากผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ได้ชี้อย่างเด่นชัดว่า ใครคือผู้ต้องสงสัยที่สุดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ....









Read More »

หนังสือ การเมืองในอนุสวรีย์ท้าวสุรนารี-สายพิณ แก้วงามประเสริฐ (ต้องห้าม)

หนังสือ การเมืองในอนุสวรีย์ท้าวสุรนารี-สายพิณ แก้วงามประเสริฐ (ต้องห้าม)


วิทยานิพนธ์ "ภาพลักษณ์ท้าวสุรนารีในประวัตติศาสตร์ไทย"เป็นงานวิจัยที่ได้รับรางวัล วิทยานิพนธ์ดีเด่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2536 และต่อมาในปี พ.ศ. 2539 สำนักพิมพ์มติชนก็ได้นำมาปรับปรุงและเรียบเรียง แล้วตีพิมพ์ออกจำหน่ายในชื่อของ "การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี" งานชิ้นนี้ของ สายพิน แก้วประเสริฐ
ได้ตั้งคำถามที่สำคัญยิ่ง ต่อความเชื่อถึงการมีอยู่ของ ท้าวสุรนารีว่า เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด ด้วยคำถามใหม่ๆ เช่น ทำไมจึงต้องเร่งสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นในปี พ.ศ. 2477, ทำไมต้องเร่งเปิดอนุสาวรีย์ทั้งที่ยังเป็นเพียงรูปปูนปลาสเตอร์แล้วทาสีทอง ทับเท่านั้น, เหตุใดจึงต้องเปลี่ยนท่าทางของท้าวสุรนารี
จากคำถามเหล่านี้ สายพินได้เริ่มค้นหาคำตอบด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์จนพบว่า วีรกรรมของท้าวสุรนารีถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเป้าประสงค์ทางการเมือง ในทศวรรษ 2470 และนั่นคือที่มาที่ทำให้ท้าวสุรนารีเป็นสามัญชนคนแรกที่ทางการสร้าง อนุสาวรีย์ให้
การตีพิมพ์หนังสือดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากชาวโคราชเป็นจำนวนมาก เนื่องจากงานดังกล่าวเป็นการตั้งคำถามที่สั่นคลอนความเชื่อของชาวจังหวัด นครราชสีมาเป็นอย่างยิ่ง จนก่อให้เกิดการประท้วงที่ส่งผลให้ทางสำนักพิมพ์มติชน ต้องตัดสินใจเก็บหนังสือดังกล่าวออกจากตลาดไปในที่สุด ในขณะที่ผู้เขียนซึ่งเป็นครู ก็ถูกย้ายจากโรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา อำเภอปักธงชัย จ. นครราชสีมาด้วยเช่นกัน
ที่น่าสังเกตุคือ งานชิ้นดังกล่าวนี้เมื่อขณะที่ยังเป็นวิทยานิพนธ์อยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่เมื่อกลายเป็นหนังสือเล่มที่วางขายในท้องตลาดกลับก่อให้เกิดความขัดแย้ง รุนแรง สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือ สาเหตุเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้อยู่ผิดที่ผิดทาง หรือเป็นเพราะอยู่ในสังคมที่ไม่ยอมรับความเชื่อที่แตกต่าง และพร้อมที่จะจัดการกับความเชื่อที่แตกต่างด้วยกำลังกันแน่

https://www.mediafire.com/…/การเมืองในท้าวสุรนารี-สายพิน_แก…





Read More »

หนังสือ วีรสตรีจีนปฏิวัติ-หลิวกูหลาน(ต้องห้าม)

หนังสือ วีรสตรีจีนปฏิวัติ-หลิวกูหลาน(ต้องห้าม)


"เพื่อลัทธิความเชื่อถือของพวกเขา พวกเขายอมสละสิ่งอื่นๆทั้งหมด ใช้เนื้อและกระดูกต้านปลายหอกของศัครูจนทู่ ใช้เลือดสาดเปลวเพลิงจนดับ ภายใต้แสงสลัวจากคมดาบนั้น สามารถมองเห็นความสว่างรางๆจากขอบฟ้าสาง นั่นคือ แสงอาทิตย์อุทัยแห่งศวรรษใหม่นั่นเอง"
++++เป้าหมายของการปฏิวัติมันคือ การเปลี่ยนแปลงโชคชะตา คนหนุ่มสาวสละชีพเพื่อให้คนที่ยังอยู่มีชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว่าผู้ทำการปฏิวัติจะไม่อยู่ได้เห็นมันก็ตาม+++++

Read More »

หนังสือ นิพนธ์ปรัชญา4บท - เหมาเจ๋อตุง (ต้องห้ามน่าอ่าน)

หนังสือ นิพนธ์ปรัชญา4บท - เหมาเจ๋อตุง (ต้องห้ามน่าอ่าน)

 

เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของวงการหนังสือปรัชญาและมีค่าควรแก่การศึกษา แม้ว่าในรูปธรรมในหนังสือจะเป็นประเทศจีน แต่เราก็สามารถนำมาปรับใช้กับสังคมไทยได้ แม้ว่าปัจจุบันไทยจะไม่ได้เป็นประเทศสังคมนิยมก็ตาม และคงจะมีประโยชน์แก่ผู้ใฝ่หาความรู้ความก้าวหน้าทางปรัชญาอยู่บ้าง
...................................................
ว่าด้วยการปฏิบัติ
ว่าด้วยความขัดแย้ง
ความคิดของคนเรามาจากไหน?
วิธีแก้ไขความขัดแย้งนหมู่ประชาชน
http://www.mediafire.com/…/หนังสือ_นิพนธ์ปรัชญา4บท-เหมาเจ๋อ…
Read More »

หนังสือ โลกคอมมิวนิสย์-สุพจน์ ด่านตะกูล(ต้องห้ามที่แนะนำว่าควรศึกษา)

หนังสือ โลกคอมมิวนิสย์-สุพจน์ ด่านตะกูล(ต้องห้ามที่แนะนำว่าควรศึกษา)

 

ความกลัวคอมมิวนิสย์นั้นได้มีมาตั้งแต่สมัยที่คาร์ลมาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ และแม้ก่อนหน้านั้น ในจดหมายที่เองเกลส์มีไปถึงมาร์กซ์ก็พูดถึงเรื่องนี้ว่า ที่เยอรมันพวกศักดินาเรียกพวกที่คัดค้านระบบเจ้าศักดินาว่าเป็นพวกคอมมิ วนิสย์ สารวัตรตำรวจก็เป็นคอมมิวนิสย์ คนให้กู้เงินก็เป็นคอมมิวนิสย์ ใครๆที่คัดค้านระบบการปกครองเยอรมันสมัยนั้นก็ถูกเรียกว่าเป็นคอมมิวนิสย์ หมด ก็เช่นเดียวกับในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่ชนชั้นปกครองประเทศนั้นๆ มักจะกล่าวหาผู้ที่คัดค้านรัฐบาล,ศักดินา และยืนอยู่ข้างประชาชนว่าเป็นคอมมิวนิสต์
การกล่าวหาใครต่อใครอย่างพล่อยๆว่าเป็นคอมมิวนิสต์เช่นนี้ แสดงถึงภูมิปัญญาของผู้กล่าวนั้นๆว่าไม่รู้เรื่องคอมมิวนิสย์แม้แต่น้อย
เพราะการกล่าวหาว่าใครเป็นคอมมิวนิสย์นั้น ในทางกลับกันก็เท่ากับเป็นการประกาศเกียรติคุณของผู้ถูกกล่าวหานั้นๆว่า เป็นผู้ที่ถึงแล้วซึ่งคุณธรรมอันสูงส่ง เพราะคอมมิวนิสย์โดยแท้จริงนั้นรักมนุษยชาติ,รักสันติ,รักความเป็นธรรมและ ไม่เบียดเบียนต่อกัน
ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พรมยงค์ ไๆด้กล่าวไว้อย่างถูกต้องในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยฉบับบวัน ที่26กันยายน2518มีความตอนหนึ่งว่า "ผมปราถนาอยู่อย่างหนึ่งว่า ใครที่อยากเป็นคอมมิวนิสต์ก็ขอให้ศึกษาของเขาจริงๆ ใครที่อยากต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็ค้องศึกษาของเขาด้วย ต้องศึกษาให้รู้เสียก่อน เพราะการกล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้เป็นคอมมิวนิสย์ ก็เท่ากับว่าหาคนให้คอมมิวนิสย์ คอมมิวนิสต์อยู่เฉยๆก็ได้พวก"
ถึงอย่างไรก็ดี ในการพิจารณา โลกคอมมิวนิสต์ ก็จงพิจารณาด้วยดวงจิตที่ปราศจากโมหคติ และปราศจากทั้งศรัทธานุสติด้วย แต่จงพิจารณาด้วยสติแห่งกาลามสูตร 






Read More »

หนังสือ"ความเป็นมาขอคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" -จิตร ภูมิศักดิ์(ต้องห้าม)

หนังสือ"ความเป็นมาขอคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" -จิตร ภูมิศักดิ์(ต้องห้าม)

หนึ่งในหนังสือหายาก โดยนักคิดผู้เป็นอัฉริยะที่สุดคนหนึ่งที่สังคมไทยเคยมีมา จิตร ภูมิศักดิ์ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่จิตรได้แต่งขึ้นไว้ขณะถูกจำ คุกลาดยาว ต้นฉบับรอดการการทำลายในยุคตุลา-ตุลาด้วยการเก็บฝังดิน แม้ยังเขียนไม่เสร็จสิ้นดี แต่ได้รับการกล่าวขานไว้ว่า เป็นหนึ่งในหนังสือ 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน
สารบัญ
คำนำ
ภาคที่ 1 พื้นฐานทางนิรุกติศาสตร์และประวัติศาสตร์
บทที่ 1 ร่องรอยของ "สยาม" ในปัจจุบัน
บทที่ 2 ชานและชาม
บทที่ 3 ชานและสยาม
บทที่ 4 ร่องรอยของสยามในจารึกพะม่า
บทที่ 5 สฺยามฺ ในจารึกจามปา
บทที่ 6 สฺยํ ในจารึกเขมร
บทที่ 7 สฺยํ และ เสียม
บทที่ 8 จะตามหา สฺยํกุกฺ อย่างไร
บทที่ 9 ชาวเสียมแห่งลุ่มแม่น้ำกก แหล่งอารยธรรมไทยสมัยก่อนยุคสุโขทัย
บทที่ 10 นี่เสียมกุก!
บทที่ 11 สฺยํ ในจารึกสมัยก่อนนครหลวง
บทที่ 12 สยามและอัสสัม
บทที่ 13 โกสามพี และ ลาวเฉียง
บทที่ 14 สยามในความรับรู้ของจีน
บทที่ 15 ที่มาของสยาม สมมุติฐานทางนิรุกติศาสตร์และทางสังคม
บทที่ 16 ที่มาและความหมายของสยามตามความเห็นในอดีต
บทที่ 17 สยาม - ความเป็นมาในภาษาไทย

ภาคที่ 2 ชื่อชนชาติและฐานะทางสังคม
บทที่ 1 ลักษณะสองด้านของชื่อชนชาติ
บทที่ 2 มิลักขะ - กิราต - นิษาท - ทาส และนาคผู้ยืนหยัดประกาศความเป็นคน
บทที่ 3 วิญญาณมนุษย์
บทที่ 4 ความสัมพันธ์ทางสังคมกับชื่อชนชาติ
บทที่ 5 ข่า และปรัชญาแห่งความเป็นทาส
บทที่ 6 ลาวเทิง - ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้
บทที่ 7 ไท-ไต ชื่อที่ยืนยันความเป็นคน
บทที่ 8 ไท-ไต และคนเมือง ปฏิกริยาตอบโต้ของชาติไต
บทที่ 9 วิวัฒนาการของคำว่า ไท และ ลาว
บทที่ 10 ทางโน้มแห่งความหมายของคำ "สยาม"
ภาคผนวก ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม
http://www.mediafire.com/…/หนังสือ_ความเป็นมาของคำสยาม_ไทย_…
Read More »

หนังสือ โฉมหน้าจีนใหม่-องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ต้องห้าม)

หนังสือ โฉมหน้าจีนใหม่-องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ต้องห้าม)

เล่มนี้ในอดีตผู้มีอำนาจในบ้านเมืองสมัยหนึ่งเคยประกาศเป็นหนังสือต้องห้าม แต่ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือดี100 เล่ม ที่คนไทยต้องอ่าน

http://www.mediafire.com/…/45kqc…/หนังสือ_โฉมหน้าจีนใหม่.pdf

Read More »

*Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 25-02-58 เมื่อสามสถาบันของชาติเกิดวิกฤติ มันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง

Read More »

Saturday, February 21, 2015

*Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 18-02-58 เปรมยึดซากลุงสมชาย-พระบรมรอเวลาล้างแค้นเปรม

Read More »

*Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 11-02-58 2 ภาพใหญ่ทางการเมือง

Read More »

**Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 4-02-58 ทางบังคับไทยต้องเดินไปสู่สถานการณ์แตกหัก

Read More »