Friday, January 16, 2015
วิกฤตการเมืองไทย วันที่ 6 มกราคม 2558 คนไทยจะได้เสรีภาพเมื่อทุนใหม่ถูกทำลาย จึงเปลี่ยนใจกลับมาสู้ กับคุณแอนตี้ คุณยุทธ และคุณมนตรี
วิกฤตการเมืองไทย วันที่ 6 มกราคม 2558 คนไทยจะได้เสรีภาพเมื่อทุนใหม่ถูกทำลาย จึงเปลี่ยนใจกลับมาสู้
*Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 14-01-58 ยิ่งลักษณ์จะไม่รอด & ทหารจะสืบทอดอำนาจต่อจากสถาบันกะสัตว์
*Anti WAKE UP ALL THAIS ประจำวันที่ 14-01-58 ยิ่งลักษณ์จะไม่รอด & ทหารจะสืบทอดอำนาจต่อจากสถาบันกะสัตว์
https://www.mediafire.com/?agb3tcgda11f0tv
http://www.4shared.com/…/Anti_WAKE_UP_ALL_THAIS__14-01-.html?
http://www.2shared.com/…/Anti_WAKE_UP_ALL_THAIS__14-01-.html
Thursday, January 15, 2015
เรื่อง 30 บาท รักษาทุกโรค
#กูปลูกปัญญา + #กูกัดไม่ปล่อย
เรื่อง 30 บาท รักษาทุกโรค
1. เปิดเรื่อง จากบทความของ The Guardian ที่ อมรรตยา เสน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่ได้ยกย่อง "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ของประเทศไทย
2. ความเป็นมาของ 30 บาท รู้ไว้ใช่ว่า
3. ย้อนกลับมาดูในไทย เรื่องการรักษาพยาบาล สมัยก่อนปี 2544
4. ทหารเอาไปโชว์
5. ย้อนไปเมื่อเริ่มต้นนโยบาย ในปี 2544 ใครบ้าง ที่ต่อต้าน ค้าน โจมตี นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
ในอนาคต จะกล่าวถึงความพยายามในการล้มและแทรกแซง
ใครที่อ่านจบ ขอให้แชร์ออกไปมากๆ แทนการกดไลค์
- - - - - - - - - -
1. อมรรตยา เสน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์
ยกย่อง "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ของประเทศไทยว่า
เป็นนโยบายสาธารณสุขที่โลกควรเอาเป็นแม่แบบ
-
http://www.theguardian.com/…/-sp-universal-healthcare-the-a…
-
อมรรตยะ ได้ยกย่องนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ว่าเป็นนโยบายสาธารณสุขที่โลกควรเอาเป็นแม่แบบ และได้กล่าวชื่นชม ให้เป็นตัวอย่างของโลก ที่ให้หลักประกันสุขภาพกับประชาชน โดยชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อีกทั้งยังยกให้ประเทศไทยเป็นประเทศตัวอย่าง ที่นโยบายทางการเมืองสามารถผลักดันให้มีหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชน จนทำให้ไทยอัตราการตายลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
-
ผลจากโครงการดังกล่าว ทำให้อัตราการตายของเด็กแรกเกิดลดต่ำลงจนเหลือเพียง 11 ใน 1,000 คน อายุขัยโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 74 ปี ตัวเลขสำคัญของอัตราการตายของเด็กแรกเกิดที่ลดลงนี้ ได้กระจายไปทั้งในกลุ่มคน ยากจน และคนรวย ถือเป็นดัชนีของการให้หลักประกันสุขภาพที่ลดช่องว่างในสังคม และเป็นนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมกันในสังคมด้านการแพทย์
อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- - - - - - - - - -
2. ความเป็นมาของ 30 บาท รู้ไว้ใช่ว่า
บางกลุ่มคนก็เริ่ม "ดัดจริต" ออกมาแก้ต่างว่า คนที่คิดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่ทักษิณ บางตัวก็บอกว่าเป็นของ "ชวน หลีกภัย" บางคนก็บอกว่าทักษิณไปลอก "นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" มาเป็นของตนเอง
-
ความจริงก็คือ นโยบายนี้ เป็นแนวคิดในการจัดระบบประกันสุขภาพ แบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ที่คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์และแพทย์ในทีมร่วมกันคิด นายแพทย์สงวน เป็นคนที่มีจรรยาบรรณ ผลักดันเรื่องหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน จนได้รับการขนานนามว่า "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย" อย่าเอาไอ้คณบดีแพทยศาสตร์ศิริราช (ศ.นพ.อุดม นามสกุล "คนจนเป็นภาระ") กับ ปลัดสาธารณสุข (นกหวีดทองคำ) คนปัจจุบัน มาเทียบเลย มันต่างกันเยอะ
-
หมอสงวน " เคย " เอาเรื่องหลักประกันสุขภาพ ไปเสนอให้แก่ " รัฐบาล ที่มีนายกชื่อ นายชวน หลีกภัย " ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เขาดูถูก ดูแคลนนโยบายนี้มาแต่ต้น นายชวน ได้บอกกับ หมอสงวนว่า "ทำไม่ได้จริงหรอก ใช้งบสูงเกินไป จะทำให้รัฐขาดทุน " เรื่องดังกล่าวก็ตกไป
-
พอช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ตอนนั้น " ไทยรักไทย " ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังหาเสียงอยู่ หมอสงวน ก็เอานโยบายนี้นี่แหละมาเสนอให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
-
เมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ฟังการนำเสนอจากหมอสงวนจนจบ ... ด้วยความทักษิณ เป็นคนบ้านนอกมาก่อน ครั้งหนึ่ง กูได้เคยฟังจากปากของท่านนายกทักษิณตอนท่านกล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับอนาคตประเทศ ไทยตอนปี 44 หรือ 45 นี่แหละ มีตอนหนึ่ง ที่พูดถึงเรื่อง 30 บาท และกูจำได้ติดหูมาจนทุกวันนี้ ทักษิณพูดว่า
-
"ผมเคยเป็นคนบ้านนอก ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ผมเคยเห็นชาวบ้านที่ต้องเงินเอาไปแอบ ไปซ่อนไว้เผื่อไว้รักษาตัวเองตอนเจ็บป่วย ผมเคยเห็นคนต้องขายนา ขายบ้าน ขายวัวควาย หรือเห็นแม้กระทั่งคนที่หมดตัว จากการรักษาพยาบาล พอคุณหมอสงวนนำโครงการนี้มาเสนอผม ผมรู้เลยว่า นี่คือการสร้างความมั่นคงในด้านสุขภาพของคนไทย เพราะหลักการของมันคือการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ลองคิดดูว่าคนไทยไม่ได้ป่วยพร้อมกันทีเดียว 60 ล้านคน ดังนั้นโครงการนี้ถ้าทำไปผมมั่นใจว่าจะดูแลคนไทยได้
-
การจะสร้างความมั่นคงแก่ประชาชนทำได้ง่ายๆ คือ ' ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ' นี่แหละ โครงการนี้ ที่จะลดรายจ่ายให้ประชาชนได้ทันที เพราะเมื่อประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง เข้าถึงการรักษา เขาก็จะหมดห่วง มีสุขภาพและสุขภาพจิตที่ดีหมดกังวล ก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนมีสุขภาพดี หมดห่วง สร้างรายได้เพิ่มขึ้น รัฐก็มีรายได้มากขึ้น คือสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น นี่คือความสำคัญของโครงการ 30 รักษาทุกโรค ที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อประชาชนและรัฐ"
-
เมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เห็นด้วย และบอกว่านโยบายนี้ " ทำได้ " โดยนำมาประกาศเป็นนโยบายหาเสียง และเป็นนโยบายที่ประกาศในรัฐสภา จากนั้นก็ให้โอกาสหมอสงวน ได้เข้ามาบริหารจัดการ ในตำแหน่ง เลขาธิการ " สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ " หรือ สปสช. ร่วมกับคณะ (หนึ่งในคณะที่กูจำได้คือ อดีต ผอ.สำนักนโยบายและแผนของสปสช. คือ นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข) แล้วมาจนถึงวันนี้ก็ทำได้จริงๆ อย่างที่พูด เรียกได้ว่าเป็นผลงานเด่นของรัฐบาลไทยรักไทย เลยทีเดียว เพราะสามารถนำนโยบายที่หลายคนคิดว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ "ทักษิณ" ให้โอกาสทำ และทำได้เสียด้วย
-
ทั้งนี้ คุณหมอสงวนเขาก็ไม่ได้ซีเรียสหรือออกมาดีดดิ้นว่า ทักษิณขโมยผลงานแต่อย่างใด คนที่ดีดดิ้น จะเป็นจะตาย ก็เห็นจะมีแต่ประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าแพ้อย่างย่อยยับจากนโยบายนี้ และด้วยความร่วมมือของคณะรัฐประหาร ทั้ง คมช. และ คสช. ที่พยายามจะแทรกแทรงการบริหารจัดการของ สปสช. เพื่อดึงงบประมาณกลับไปสู่กระทรวงสาธารณสุข จะได้ "แดก" กันง่ายๆ อย่างที่เคยทำกันมา (ดีดดิ้นอย่างไร อ่านให้จบจนถึงตอนท้าย)
-
ปัจจุบันคุณหมอสงวน เสียชีวิตไปแล้ว ในปี พ.ศ.2551 ด้วยวัย 55 ปี
เป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่น่าชื่นชมคนหนึ่งของไทยเลยทีเดียว
- - - - - - - - - -
3. ย้อนกลับมาดูในไทย เรื่องการรักษาพยาบาล สมัยก่อนปี 2544 กันบ้าง
ในยุคก่อนปี 2544 การรักษาพยาบาลผู้ป่วย แยกเป็นสองแบบ คือ
-
1) คนไข้มีฐานะที่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้
-
2) คนไข้อนาถาหรือผู้ป่วยรายได้น้อยที่ต้องได้รับการสงเคราะห์จากรัฐ
-
การปฏิบัติต่อคนไข้ในการรักษาพยาบาลบางครั้ง (จริงๆ คือส่วนใหญ่) ก็ปฏิบัติไม่เหมือนกัน เพราะได้แยกชนชั้นของผู้ป่วยไว้อย่างชัดเจนในเบื้องแรก ประเภทหนึ่งมาเพื่อสร้างรายได้ แต่อีกฝ่ายมาเป็นภาระ ก็คงจะเป็นธรรมดา ที่การปฏิบัติย่อมไม่เหมือนกัน
-
จากสภาวะการแบ่งชนชั้นของผู้ป่วย ในลักษณะดังกล่าวนี้เอง จึงมีผู้ป่วยมากมายหลายคนต้องเสียชีวิตไป เพียงเพราะความจนของเขา และชาวบ้านบางส่วนไม่กล้ามาหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่าย บางคนถึงกับต้องขายวัว ขายควาย ขายไร่ขายนามา เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนไข้อนาถา ถูกมองเหยียดจากผู้ให้บริการว่าเป็นภาระ
-
ในยุคก่อนปี 2544 มีเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยๆ ในสังคม นั่นก็คือ "ภาวะล้มละลายจากการเจ็บป่วย" พอหายป่วยแต่ต้องมาตายทั้งเป็นเพราะหมดตัว หมดเครื่องมือทำกิน ไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากตัวเองไม่มีเงิน มีภาพที่เกิดขึ้นจนชินตา ก็คือ ภาพพี่น้องคนไทยที่กำเงินมาโรงพยาบาลด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ เพราะเงินที่กำอยู่เป็นเงินที่ไปกู้เขามา คนที่หมดหนทางจริงๆ จึงจะมาโรงพยาบาลด้วยความหดหู่ เพราะต้องถือบัตรผู้มีรายได้น้อย มาขอทานการรักษาพยาบาล เหมือนกับไม่มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ทั้งๆ ที่เงินที่โรงพยาบาลเอาไปสงเคราะห์เขา ก็เป็นเงินจากภาษีของเขานั่นแหละ
-
แต่เพราะ " ความไม่รู้ " เลยกลายเป็นว่า การสงเคราะห์ ในการรักษานั้นได้สร้างนักบุญในความรู้สึกของชาวบ้านขึ้นมา ทำให้บางอาชีพ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งบุญคุณ ทั้งที่แท้แล้ว มันคือหน้าที่ ... เพราะใครที่เลือกจะทำอาชีพนี้ย่อมเป็นหน้าที่ ... แต่การทำหน้าที่ได้ดี หรือไม่ดี นั่นต่างหาก คือ ความแตกต่าง
-
เพราะภาพความหดหู่ และความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ต่อเพื่อนร่วมชาติ จึงทำให้มีแพทย์กลุ่มหนึ่ง มีความคิดที่จะวางระบบการจัดการ การรักษาพยาบาล โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการรักษา ด้วยแนวคิดการ "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" ซึ่งเป็นแนวคิดการประกันสุขภาพของประชาชนทุกคนในประเทศ
-
ผู้ที่นำแนวคิดนี้นำเสนอต่อพรรคการเมือง รณรงค์ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ คือ คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์
-
ดังคำกล่าวของ หมอสงวนที่ว่า
-
"ผมเชื่อว่า คงเป็นความต้องการของหลายๆ คนที่เคยสัมผัสพบเห็น บางทีเราดูหนัง เห็นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อถึงเวลา ต้องรักษาพยาบาล ต้องขายที่นา ขายวัวควาย บางคน อาจไม่รู้หรอกว่า คนบ้านนอก เจอสภาพอย่างนั้นจริงๆ ถึงเราจะมีโครงการ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในอดีต แต่ชาวบ้านที่ไปใช้บริการ ยังมีความรู้สึกไม่มั่นใจ หรือไม่มีศักดิ์ศรี ไม่กล้าพูด เพราะถ้าเป็นไปได้ เขาจะพยายามหาเงินทองมารักษา ถ้าหาไม่ได้ พอเรารักษาเสร็จ เคยมีชาวบ้าน เอาแมงกีนูนมาให้กิน เป็นการตอบแทน"
-
ด้วยความที่หมอ สงวน ไปเป็นแพทย์ในชนบทอีสาน ได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชนผู้เจ็บป่วย และเห็นความหดหู่ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนป่วยอนาถาที่มาโรงพยาบาล เขาจึงนำเสนอโครงการประกันสุขภาพต่อพรรคการเมือง
-
พรรคชนชั้นกลางอย่างประชาธิปัตย์ ซึ่งมีแต่ผู้ลากมากดี จึงปฏิเสธโครงการนี้ไป แต่อีกพรรคหนึ่ง ซึ่งมีหัวหน้าพรรค เคยเป็นเด็กที่โตมากับความบ้านนอก เขาเข้าใจความลำบากนั้นเป็นอย่างดี และเขาจึงให้โอกาสหมอสงวน ให้นโยบายนี้ได้เป็นจริง จนทุกวันนี้ คนคนนั้นคือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
- - - - - - - - - -
4. ทหารเอาไปโชว์
ข่าวเมื่อไม่นานมานี้ วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557
คสช. ก็นำเอาโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ไปเสนอที่เวทีสหประชาชาติ (UN)
-
เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 69 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
-
นายสหศักดิ์กล่าวว่า การอภิปรายของไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนหลังปี 2015 รวมถึง ภารกิจหลายประการที่ชาติสมาชิก จะต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ อาทิ การกำจัดความยากจน ให้การศึกษา สาธารณสุข ที่ไทยประสบความสำเร็จในการให้คนเข้าถึงการรักษาโรค หรือ " โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค "
-
ข่าวประกอบ
1) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411704847
2) http://news.voicetv.co.th/thailand/119052.html
- - - - - - - - - -
5. ย้อนไปเมื่อเริ่มต้นนโยบาย ในปี 2544 ใครบ้าง ที่ต่อต้าน ค้าน โจมตี นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
-
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 มีการเปิดประชุมสภา และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางถึงแนวคิดของโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค โดยผู้ที่โจมตีโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค หลักๆ มี 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายชวน หลีกภัย (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น)
-
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2544 กรุงเทพธุรกิจรายงานข่าว ว่า
-
ประชาธิปัตย์ โวยลั่น " อุทัย พิมพ์ใจชน " ตัดเกมสภา ปิดไมค์ " อภิสิทธิ์ " ที่กำลังถล่มนโยบายหลักของรัฐบาล อ้างหมดเวลาอภิปราย หลังจากที่ดาวรุ่งจากพรรคประชาธิปัตย์ ชำแหละนโยบาย "การตลาดนำการเมือง" ของพรรคไทยรักไทย พร้อมจี้ให้ยอมรับว่า มีบางนโยบายทำไม่ได้อย่างที่หาเสียง
-
ในการแถลงนโยบายต่อสภาของรัฐบาลวันที่ 2 วานนี้ พรรคไทยรักไทย ได้เผยไม้เด็ดในการจัดการกับฝ่ายค้านที่จะอภิปรายโจมตีรัฐบาล โดยนายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา จากพรรคไทยรักไทย ได้จัดการการอภิปรายของฝ่ายค้านได้อย่างชะงัด ด้วยการปิดไมโครโฟนทันทีที่ครบกำหนดเวลา และสั่งปิดการอภิปรายตามกำหนด
-
ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาล เมื่อวานนี้ บรรยากาศในช่วงเช้าไม่คึกคักเท่าใดนัก กระทั่งเวลาประมาณ 20.40 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นกล่าวอภิปราย โดยเริ่มต้นที่ประเด็นการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี จากนั้น มาถึง นโยบายกองทุนหมู่บ้าน ... "นโยบาย 30 บาทรักษาได้ทุกโรค" ... รวมทั้งการจัดตั้งเอเอ็มซีแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
-
ทั้งนี้ การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งข้อสังเกตในการใช้จ่ายเงิน และที่มาของโครงการเหล่านั้น ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นได้จริง หรือหากเกิดขึ้นได้ก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อการใช้งบประมาณของรัฐบาล
-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ ได้อภิปรายถึงการตั้งเอเอ็มซีแห่งชาติของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อ ให้เกิดรายได้ พร้อมกับวิจารณ์อย่างรุนแรง
-
นายอุทัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้เตือนนายอภิสิทธิ์ ว่าหมดเวลาแล้ว แต่นายอภิสิทธิ์ ได้ขอต่ออีก 1 นาที ซึ่งนายอุทัย ก็ยินยอมให้อภิปรายต่อ
-
นายอภิสิทธิ์ จึงได้ตั้งข้อสังเกตต่อไป ว่า เอเอ็มซีแห่งชาติ นั้น เป็นการเน้นการรวมศูนย์การแก้ไขปัญหา ซึ่งสวนทางหลักการกระจายอำนาจ และความหลากหลายในการแก้ไขปัญหา เพราะแทนที่จะให้เจ้าหนี้กับลูกหนี้ตกลงกันเองก็จะกลายเป็นโครงสร้างกลางของ ภาครัฐมาจัดการ ซึ่งโครงสร้างที่ผูกขาดมากขึ้นเช่นนี้เป็นการสร้างขุมทรัพย์ของผู้ที่เกี่ยว ข้อง ถ้าได้ผู้มีอำนาจเหมือนนายทุนที่ต้องการผูกขาดก็อันตราย เพราะจะทำให้มีการคอรัปชั่นมากขึ้น
-
เมื่ออภิปรายมาถึงตรงนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการคอรัปชั่น ไปยังนายปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทย แต่ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรต่อไปอีก นายอุทัย ได้ปิดไมโครโฟนของนายอภิสิทธิ์ โดยให้เหตุผลว่า หมดเวลาแล้ว
-
นายอภิสิทธิ์ ได้ขอต่อรองว่า จะขอสรุปโดยจะใช้เวลาอีกเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น แต่นายอุทัย ก็ไม่ยินยอม นายอภิสิทธิ์ จึงกล่าวโดยไม่ใช้ไมโครโฟนอีกครู่หนึ่ง จึงยอมนั่งลง
-
หลังจากนั้น นายอุทัย ได้ให้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมช.สาธารณสุข ชี้แจงนโยบาย 30 บาทรักษาได้ทุกโรค โดย น.พ.สุรพงษ์ ใช้เวลาชี้แจงประมาณ 30 นาที อธิบายถึงความจำเป็นในการทำโครงการนี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า จะนำเงินงบประมาณจากที่ใดมาสนับสนุนโครงการตามที่ นายอภิสิทธิ์ ตั้งข้อสังเกต
-
เมื่อ น.พ.สุรพงษ์ อภิปรายจบแล้ว นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอใช้สิทธิพาดพิง ชี้แจงการอภิปราย อีกประมาณ 2 นาที
-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายชวน อภิปรายจบ
นายอุทัย ได้สั่งปิดการอภิปรายทันที
ทำให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งมีคิวอภิปรายคนต่อไป ลุกขึ้นประท้วงนายอุทัย ว่า
ปล่อยให้ น.พ.สุรพงษ์ ชี้แจงจบแล้ว แต่ไม่ให้เขาพูดต่อ ได้อย่างไร
-
"ประธานกลัวว่าผมจะพูดอะไรหรือครับ" นายพิเชษฐ กล่าว
พร้อมกับยืนประท้วงต่อ จนนายอุทัย สั่งให้นั่งลง
โดยระบุว่า หากไม่นั่ง ก็จะไม่พูดด้วย
- - - - - - - - - -
(ที่มาของโฆษณายาแก้ริดสีดวง ยุค 15-20 ปีก่อน
ที่บอกว่า ทำไมคุณถึงไม่นั่ง เพราะลมมันเย็น - กูเพิ่มเอง)
- - - - - - - - - -
จากนั้น นายอุทัย ได้ชี้แจงว่า ไม่ได้กลัวอะไร พร้อมกับอ้างว่า ได้ตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่า จะใช้เวลาประชุมกันถึงเวลา 21.30 น.เมื่อกล่าวจบ นายอุทัย ก็กล่าวว่า ขอปิดการประชุมพร้อมกับลุกออกจากบัลลังก์ทันที โดยไม่ฟังเสียง นายพิเชษฐ ที่พยายามประท้วงอยู่ด้านล่าง
- - - - - - - - - -
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า นโยบายหลายอย่างของรัฐบาลคลาดเคลื่อน ไปจากนโยบายที่พรรคไทยรักไทยประกาศไว้
-
นอกจากนี้ นโยบายเร่งด่วนที่มาจากวาระแห่งชาตินั้น แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับเป็นผู้นำไปบรรจุไว้ในร่างนโยบายด้วยตัวเองในวันสุดท้าย ก่อนที่จะแถลงต่อรัฐสภา ทำให้เชื่อว่าที่ไม่บรรจุไว้ตอนแรก เพราะรัฐมนตรีหลายคนก็ไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้จริง
-
ซัดใช้การตลาดนำการเมืองหาเสียง
-
เขาขนานนามแนวทางของพรรคไทยรักไทยที่ใช้ในการหาเสียง ว่า เป็นนโยบายการตลาดนำการเมือง ซึ่งแม้จะตรงกับความต้องการของประชาชน แต่สภาพความเป็นจริงของประเทศไม่สามารถตอบสนองได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อประชาชนตัดสินใจเลือกมาแล้วรัฐบาลก็ไม่มีทางเลือก จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องหยุดใช้การตลาดนำการเมือง เพราะไม่จำเป็นอีกต่อไปที่ต้องหาเสียง แต่รัฐบาลมีพันธะที่จะต้องนำนโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้ดีที่สุด ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดใจกว้าง อะไรที่เคยพูดเกินเลยไปถ้าอธิบายแล้วสังคมก็จะให้โอกาส แต่ต้องเริ่มจากการพูดความจริง ซึ่งตนหวังว่ารัฐบาลจะใช้เวทีนี้พูดความจริง แต่ผิดหวัง เพราะรัฐบาลยังใช้หลักพูดจาเอาใจเพื่อประคับประคองสถานการณ์ไปแบบวันต่อวัน
-
"ผมยกตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งความเข้าใจของคนทั้งประเทศไม่ตรงกับที่ท่านอธิบาย ความคาดหวังเขา คือ มีเงิน 1 ล้านบาทไปหมู่บ้าน แล้วเขาจะใช้จ่ายอะไรเป็นเรื่องของเขา เขาอาจคิดคำนวณไปแล้วว่าแต่ละครัวเรือนได้เท่าไหร่ เพราะสอดคล้องกับที่ท่านบอกว่านโยบายนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นกองทุนพัฒนาอาชีพ ต้องให้เสนอโครงการมาให้พิจารณา การกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เป็นจริง เพราะกว่าจะได้ใช้เงินก็ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายพักหนี้เกษตรกรนั้น ยอมรับว่า ตอนหาเสียงมีคำว่ารายย่อยจริง แต่เป็นการมาเติมเฉพาะช่วงท้ายของการหาเสียงเท่านั้น
-
30 บาท รักษาทุกโรค ยังพูดความจริงไม่หมด
จุดที่ นายอภิสิทธิ์ เน้นในการอภิปรายครั้งนี้ คือ โครงการรักษาทุกโรค 30 บาทของกระทรวงสาธารณสุข
-
เขากล่าวว่า นโยบายนี้ของพรรคไทยรักไทยโดนใจประชาชน เพราะเป็นการสร้างความหวัง ว่าประชาชนทุกคนจะอยู่ใต้ระบบการรักษาพยาบาลระบบเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิเหนือใคร ทุกคนใช้บัตรประชาชนเดินเข้าโรงพยาบาล ก็สามารถรับการรักษาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายนี้ รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอย่างแน่นอน โดยยกตัวอย่างการศึกษาว่า หากดำเนินการตามที่รัฐบาลประกาศ จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกให้ประชาชนรับทราบ
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตอนที่ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมช.สาธารณสุข คิดและทำนโยบายนี้ มีรายละเอียดเป็นหลักฐาน ว่า ผู้เข้าโครงการต้องจ่ายเงินสมทบเดือนละ 100 บาท แต่วันนี้ไม่มี ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างไร เงินจะลอยมาได้เองเป็นไปไม่ได้
-
"การศึกษายังลงรายละเอียดว่าแม้เก็บภาษีท้องถิ่นเพิ่มแล้ว ยังต้องเอาเงินจากรัฐบาลกลาง อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี อันนี้ต้องบอกประชาชน"
-
เขายังกล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องบอกด้วยว่า การดำเนินการ ต้องเลือกวิธีไหน ใช้การประกันสุขภาพให้เงินสมทบแต่ยกเว้นคนมีรายได้น้อยก็บอก หรือบอกว่าเลิกคิด แล้วเอาระบบสวัสดิการทั้งประเทศซึ่งทำได้ แต่ถ้าไปตรวจสอบทั่วโลกมีทางเลือกเกิดขึ้น คือ ต้องใช้เงินภาษีมากกว่าปัจจุบันมาก ต้องขึ้นภาษีเป็นร้อยละ 50-60 หรือบางประเทศถึงร้อยละ 80 ซึ่งต้องไปถามนักธุรกิจว่าพร้อมจ่ายหรือไม่ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องให้โรงพยาบาลบริการไปเองตามงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบนี้ในประเทศอังกฤษคือ การรักษาบางโรค เช่น ผ่าตัดต้องรอคิวกันเป็นปี"
- - - - - - - - - -
ในลำดับถัดๆไป เดี๋ยวจะเขียนอธิบายว่า มีความพยายามในการล้มและแทรกแซง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างไร มาเผยแพร่ ให้ประชาชน รู้เท่าทัน พรรคประชาธิปัตย์ และอำมาตย์ชั่ว
-
-
สำหรับท่านที่อ่านมา "โดยละเอียด" ทั้งหมด
กูขอสรุปให้ว่า โครงการนี้ เป็นอย่างไร ดังนี้
"หมอสงวนคิด ทักษิณให้ทำ คนระยำค้าน ทหารเอาไปโชว์"
เรื่อง 30 บาท รักษาทุกโรค
1. เปิดเรื่อง จากบทความของ The Guardian ที่ อมรรตยา เสน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่ได้ยกย่อง "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ของประเทศไทย
2. ความเป็นมาของ 30 บาท รู้ไว้ใช่ว่า
3. ย้อนกลับมาดูในไทย เรื่องการรักษาพยาบาล สมัยก่อนปี 2544
4. ทหารเอาไปโชว์
5. ย้อนไปเมื่อเริ่มต้นนโยบาย ในปี 2544 ใครบ้าง ที่ต่อต้าน ค้าน โจมตี นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
ในอนาคต จะกล่าวถึงความพยายามในการล้มและแทรกแซง
ใครที่อ่านจบ ขอให้แชร์ออกไปมากๆ แทนการกดไลค์
- - - - - - - - - -
1. อมรรตยา เสน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์
ยกย่อง "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ของประเทศไทยว่า
เป็นนโยบายสาธารณสุขที่โลกควรเอาเป็นแม่แบบ
-
http://www.theguardian.com/…/-sp-universal-healthcare-the-a…
-
อมรรตยะ ได้ยกย่องนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ว่าเป็นนโยบายสาธารณสุขที่โลกควรเอาเป็นแม่แบบ และได้กล่าวชื่นชม ให้เป็นตัวอย่างของโลก ที่ให้หลักประกันสุขภาพกับประชาชน โดยชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อีกทั้งยังยกให้ประเทศไทยเป็นประเทศตัวอย่าง ที่นโยบายทางการเมืองสามารถผลักดันให้มีหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชน จนทำให้ไทยอัตราการตายลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
-
ผลจากโครงการดังกล่าว ทำให้อัตราการตายของเด็กแรกเกิดลดต่ำลงจนเหลือเพียง 11 ใน 1,000 คน อายุขัยโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 74 ปี ตัวเลขสำคัญของอัตราการตายของเด็กแรกเกิดที่ลดลงนี้ ได้กระจายไปทั้งในกลุ่มคน ยากจน และคนรวย ถือเป็นดัชนีของการให้หลักประกันสุขภาพที่ลดช่องว่างในสังคม และเป็นนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมกันในสังคมด้านการแพทย์
อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- - - - - - - - - -
2. ความเป็นมาของ 30 บาท รู้ไว้ใช่ว่า
บางกลุ่มคนก็เริ่ม "ดัดจริต" ออกมาแก้ต่างว่า คนที่คิดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่ทักษิณ บางตัวก็บอกว่าเป็นของ "ชวน หลีกภัย" บางคนก็บอกว่าทักษิณไปลอก "นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" มาเป็นของตนเอง
-
ความจริงก็คือ นโยบายนี้ เป็นแนวคิดในการจัดระบบประกันสุขภาพ แบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ที่คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์และแพทย์ในทีมร่วมกันคิด นายแพทย์สงวน เป็นคนที่มีจรรยาบรรณ ผลักดันเรื่องหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน จนได้รับการขนานนามว่า "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย" อย่าเอาไอ้คณบดีแพทยศาสตร์ศิริราช (ศ.นพ.อุดม นามสกุล "คนจนเป็นภาระ") กับ ปลัดสาธารณสุข (นกหวีดทองคำ) คนปัจจุบัน มาเทียบเลย มันต่างกันเยอะ
-
หมอสงวน " เคย " เอาเรื่องหลักประกันสุขภาพ ไปเสนอให้แก่ " รัฐบาล ที่มีนายกชื่อ นายชวน หลีกภัย " ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เขาดูถูก ดูแคลนนโยบายนี้มาแต่ต้น นายชวน ได้บอกกับ หมอสงวนว่า "ทำไม่ได้จริงหรอก ใช้งบสูงเกินไป จะทำให้รัฐขาดทุน " เรื่องดังกล่าวก็ตกไป
-
พอช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ตอนนั้น " ไทยรักไทย " ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังหาเสียงอยู่ หมอสงวน ก็เอานโยบายนี้นี่แหละมาเสนอให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
-
เมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ฟังการนำเสนอจากหมอสงวนจนจบ ... ด้วยความทักษิณ เป็นคนบ้านนอกมาก่อน ครั้งหนึ่ง กูได้เคยฟังจากปากของท่านนายกทักษิณตอนท่านกล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับอนาคตประเทศ ไทยตอนปี 44 หรือ 45 นี่แหละ มีตอนหนึ่ง ที่พูดถึงเรื่อง 30 บาท และกูจำได้ติดหูมาจนทุกวันนี้ ทักษิณพูดว่า
-
"ผมเคยเป็นคนบ้านนอก ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ผมเคยเห็นชาวบ้านที่ต้องเงินเอาไปแอบ ไปซ่อนไว้เผื่อไว้รักษาตัวเองตอนเจ็บป่วย ผมเคยเห็นคนต้องขายนา ขายบ้าน ขายวัวควาย หรือเห็นแม้กระทั่งคนที่หมดตัว จากการรักษาพยาบาล พอคุณหมอสงวนนำโครงการนี้มาเสนอผม ผมรู้เลยว่า นี่คือการสร้างความมั่นคงในด้านสุขภาพของคนไทย เพราะหลักการของมันคือการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ลองคิดดูว่าคนไทยไม่ได้ป่วยพร้อมกันทีเดียว 60 ล้านคน ดังนั้นโครงการนี้ถ้าทำไปผมมั่นใจว่าจะดูแลคนไทยได้
-
การจะสร้างความมั่นคงแก่ประชาชนทำได้ง่ายๆ คือ ' ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ' นี่แหละ โครงการนี้ ที่จะลดรายจ่ายให้ประชาชนได้ทันที เพราะเมื่อประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง เข้าถึงการรักษา เขาก็จะหมดห่วง มีสุขภาพและสุขภาพจิตที่ดีหมดกังวล ก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนมีสุขภาพดี หมดห่วง สร้างรายได้เพิ่มขึ้น รัฐก็มีรายได้มากขึ้น คือสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น นี่คือความสำคัญของโครงการ 30 รักษาทุกโรค ที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อประชาชนและรัฐ"
-
เมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เห็นด้วย และบอกว่านโยบายนี้ " ทำได้ " โดยนำมาประกาศเป็นนโยบายหาเสียง และเป็นนโยบายที่ประกาศในรัฐสภา จากนั้นก็ให้โอกาสหมอสงวน ได้เข้ามาบริหารจัดการ ในตำแหน่ง เลขาธิการ " สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ " หรือ สปสช. ร่วมกับคณะ (หนึ่งในคณะที่กูจำได้คือ อดีต ผอ.สำนักนโยบายและแผนของสปสช. คือ นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข) แล้วมาจนถึงวันนี้ก็ทำได้จริงๆ อย่างที่พูด เรียกได้ว่าเป็นผลงานเด่นของรัฐบาลไทยรักไทย เลยทีเดียว เพราะสามารถนำนโยบายที่หลายคนคิดว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ "ทักษิณ" ให้โอกาสทำ และทำได้เสียด้วย
-
ทั้งนี้ คุณหมอสงวนเขาก็ไม่ได้ซีเรียสหรือออกมาดีดดิ้นว่า ทักษิณขโมยผลงานแต่อย่างใด คนที่ดีดดิ้น จะเป็นจะตาย ก็เห็นจะมีแต่ประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าแพ้อย่างย่อยยับจากนโยบายนี้ และด้วยความร่วมมือของคณะรัฐประหาร ทั้ง คมช. และ คสช. ที่พยายามจะแทรกแทรงการบริหารจัดการของ สปสช. เพื่อดึงงบประมาณกลับไปสู่กระทรวงสาธารณสุข จะได้ "แดก" กันง่ายๆ อย่างที่เคยทำกันมา (ดีดดิ้นอย่างไร อ่านให้จบจนถึงตอนท้าย)
-
ปัจจุบันคุณหมอสงวน เสียชีวิตไปแล้ว ในปี พ.ศ.2551 ด้วยวัย 55 ปี
เป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่น่าชื่นชมคนหนึ่งของไทยเลยทีเดียว
- - - - - - - - - -
3. ย้อนกลับมาดูในไทย เรื่องการรักษาพยาบาล สมัยก่อนปี 2544 กันบ้าง
ในยุคก่อนปี 2544 การรักษาพยาบาลผู้ป่วย แยกเป็นสองแบบ คือ
-
1) คนไข้มีฐานะที่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้
-
2) คนไข้อนาถาหรือผู้ป่วยรายได้น้อยที่ต้องได้รับการสงเคราะห์จากรัฐ
-
การปฏิบัติต่อคนไข้ในการรักษาพยาบาลบางครั้ง (จริงๆ คือส่วนใหญ่) ก็ปฏิบัติไม่เหมือนกัน เพราะได้แยกชนชั้นของผู้ป่วยไว้อย่างชัดเจนในเบื้องแรก ประเภทหนึ่งมาเพื่อสร้างรายได้ แต่อีกฝ่ายมาเป็นภาระ ก็คงจะเป็นธรรมดา ที่การปฏิบัติย่อมไม่เหมือนกัน
-
จากสภาวะการแบ่งชนชั้นของผู้ป่วย ในลักษณะดังกล่าวนี้เอง จึงมีผู้ป่วยมากมายหลายคนต้องเสียชีวิตไป เพียงเพราะความจนของเขา และชาวบ้านบางส่วนไม่กล้ามาหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่าย บางคนถึงกับต้องขายวัว ขายควาย ขายไร่ขายนามา เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนไข้อนาถา ถูกมองเหยียดจากผู้ให้บริการว่าเป็นภาระ
-
ในยุคก่อนปี 2544 มีเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยๆ ในสังคม นั่นก็คือ "ภาวะล้มละลายจากการเจ็บป่วย" พอหายป่วยแต่ต้องมาตายทั้งเป็นเพราะหมดตัว หมดเครื่องมือทำกิน ไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากตัวเองไม่มีเงิน มีภาพที่เกิดขึ้นจนชินตา ก็คือ ภาพพี่น้องคนไทยที่กำเงินมาโรงพยาบาลด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ เพราะเงินที่กำอยู่เป็นเงินที่ไปกู้เขามา คนที่หมดหนทางจริงๆ จึงจะมาโรงพยาบาลด้วยความหดหู่ เพราะต้องถือบัตรผู้มีรายได้น้อย มาขอทานการรักษาพยาบาล เหมือนกับไม่มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ทั้งๆ ที่เงินที่โรงพยาบาลเอาไปสงเคราะห์เขา ก็เป็นเงินจากภาษีของเขานั่นแหละ
-
แต่เพราะ " ความไม่รู้ " เลยกลายเป็นว่า การสงเคราะห์ ในการรักษานั้นได้สร้างนักบุญในความรู้สึกของชาวบ้านขึ้นมา ทำให้บางอาชีพ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งบุญคุณ ทั้งที่แท้แล้ว มันคือหน้าที่ ... เพราะใครที่เลือกจะทำอาชีพนี้ย่อมเป็นหน้าที่ ... แต่การทำหน้าที่ได้ดี หรือไม่ดี นั่นต่างหาก คือ ความแตกต่าง
-
เพราะภาพความหดหู่ และความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ต่อเพื่อนร่วมชาติ จึงทำให้มีแพทย์กลุ่มหนึ่ง มีความคิดที่จะวางระบบการจัดการ การรักษาพยาบาล โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการรักษา ด้วยแนวคิดการ "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" ซึ่งเป็นแนวคิดการประกันสุขภาพของประชาชนทุกคนในประเทศ
-
ผู้ที่นำแนวคิดนี้นำเสนอต่อพรรคการเมือง รณรงค์ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ คือ คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์
-
ดังคำกล่าวของ หมอสงวนที่ว่า
-
"ผมเชื่อว่า คงเป็นความต้องการของหลายๆ คนที่เคยสัมผัสพบเห็น บางทีเราดูหนัง เห็นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อถึงเวลา ต้องรักษาพยาบาล ต้องขายที่นา ขายวัวควาย บางคน อาจไม่รู้หรอกว่า คนบ้านนอก เจอสภาพอย่างนั้นจริงๆ ถึงเราจะมีโครงการ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในอดีต แต่ชาวบ้านที่ไปใช้บริการ ยังมีความรู้สึกไม่มั่นใจ หรือไม่มีศักดิ์ศรี ไม่กล้าพูด เพราะถ้าเป็นไปได้ เขาจะพยายามหาเงินทองมารักษา ถ้าหาไม่ได้ พอเรารักษาเสร็จ เคยมีชาวบ้าน เอาแมงกีนูนมาให้กิน เป็นการตอบแทน"
-
ด้วยความที่หมอ สงวน ไปเป็นแพทย์ในชนบทอีสาน ได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชนผู้เจ็บป่วย และเห็นความหดหู่ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนป่วยอนาถาที่มาโรงพยาบาล เขาจึงนำเสนอโครงการประกันสุขภาพต่อพรรคการเมือง
-
พรรคชนชั้นกลางอย่างประชาธิปัตย์ ซึ่งมีแต่ผู้ลากมากดี จึงปฏิเสธโครงการนี้ไป แต่อีกพรรคหนึ่ง ซึ่งมีหัวหน้าพรรค เคยเป็นเด็กที่โตมากับความบ้านนอก เขาเข้าใจความลำบากนั้นเป็นอย่างดี และเขาจึงให้โอกาสหมอสงวน ให้นโยบายนี้ได้เป็นจริง จนทุกวันนี้ คนคนนั้นคือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
- - - - - - - - - -
4. ทหารเอาไปโชว์
ข่าวเมื่อไม่นานมานี้ วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557
คสช. ก็นำเอาโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ไปเสนอที่เวทีสหประชาชาติ (UN)
-
เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 69 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
-
นายสหศักดิ์กล่าวว่า การอภิปรายของไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนหลังปี 2015 รวมถึง ภารกิจหลายประการที่ชาติสมาชิก จะต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ อาทิ การกำจัดความยากจน ให้การศึกษา สาธารณสุข ที่ไทยประสบความสำเร็จในการให้คนเข้าถึงการรักษาโรค หรือ " โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค "
-
ข่าวประกอบ
1) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411704847
2) http://news.voicetv.co.th/thailand/119052.html
- - - - - - - - - -
5. ย้อนไปเมื่อเริ่มต้นนโยบาย ในปี 2544 ใครบ้าง ที่ต่อต้าน ค้าน โจมตี นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
-
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 มีการเปิดประชุมสภา และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางถึงแนวคิดของโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค โดยผู้ที่โจมตีโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค หลักๆ มี 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายชวน หลีกภัย (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น)
-
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2544 กรุงเทพธุรกิจรายงานข่าว ว่า
-
ประชาธิปัตย์ โวยลั่น " อุทัย พิมพ์ใจชน " ตัดเกมสภา ปิดไมค์ " อภิสิทธิ์ " ที่กำลังถล่มนโยบายหลักของรัฐบาล อ้างหมดเวลาอภิปราย หลังจากที่ดาวรุ่งจากพรรคประชาธิปัตย์ ชำแหละนโยบาย "การตลาดนำการเมือง" ของพรรคไทยรักไทย พร้อมจี้ให้ยอมรับว่า มีบางนโยบายทำไม่ได้อย่างที่หาเสียง
-
ในการแถลงนโยบายต่อสภาของรัฐบาลวันที่ 2 วานนี้ พรรคไทยรักไทย ได้เผยไม้เด็ดในการจัดการกับฝ่ายค้านที่จะอภิปรายโจมตีรัฐบาล โดยนายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา จากพรรคไทยรักไทย ได้จัดการการอภิปรายของฝ่ายค้านได้อย่างชะงัด ด้วยการปิดไมโครโฟนทันทีที่ครบกำหนดเวลา และสั่งปิดการอภิปรายตามกำหนด
-
ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาล เมื่อวานนี้ บรรยากาศในช่วงเช้าไม่คึกคักเท่าใดนัก กระทั่งเวลาประมาณ 20.40 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นกล่าวอภิปราย โดยเริ่มต้นที่ประเด็นการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี จากนั้น มาถึง นโยบายกองทุนหมู่บ้าน ... "นโยบาย 30 บาทรักษาได้ทุกโรค" ... รวมทั้งการจัดตั้งเอเอ็มซีแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
-
ทั้งนี้ การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งข้อสังเกตในการใช้จ่ายเงิน และที่มาของโครงการเหล่านั้น ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นได้จริง หรือหากเกิดขึ้นได้ก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อการใช้งบประมาณของรัฐบาล
-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ ได้อภิปรายถึงการตั้งเอเอ็มซีแห่งชาติของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อ ให้เกิดรายได้ พร้อมกับวิจารณ์อย่างรุนแรง
-
นายอุทัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้เตือนนายอภิสิทธิ์ ว่าหมดเวลาแล้ว แต่นายอภิสิทธิ์ ได้ขอต่ออีก 1 นาที ซึ่งนายอุทัย ก็ยินยอมให้อภิปรายต่อ
-
นายอภิสิทธิ์ จึงได้ตั้งข้อสังเกตต่อไป ว่า เอเอ็มซีแห่งชาติ นั้น เป็นการเน้นการรวมศูนย์การแก้ไขปัญหา ซึ่งสวนทางหลักการกระจายอำนาจ และความหลากหลายในการแก้ไขปัญหา เพราะแทนที่จะให้เจ้าหนี้กับลูกหนี้ตกลงกันเองก็จะกลายเป็นโครงสร้างกลางของ ภาครัฐมาจัดการ ซึ่งโครงสร้างที่ผูกขาดมากขึ้นเช่นนี้เป็นการสร้างขุมทรัพย์ของผู้ที่เกี่ยว ข้อง ถ้าได้ผู้มีอำนาจเหมือนนายทุนที่ต้องการผูกขาดก็อันตราย เพราะจะทำให้มีการคอรัปชั่นมากขึ้น
-
เมื่ออภิปรายมาถึงตรงนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการคอรัปชั่น ไปยังนายปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทย แต่ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรต่อไปอีก นายอุทัย ได้ปิดไมโครโฟนของนายอภิสิทธิ์ โดยให้เหตุผลว่า หมดเวลาแล้ว
-
นายอภิสิทธิ์ ได้ขอต่อรองว่า จะขอสรุปโดยจะใช้เวลาอีกเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น แต่นายอุทัย ก็ไม่ยินยอม นายอภิสิทธิ์ จึงกล่าวโดยไม่ใช้ไมโครโฟนอีกครู่หนึ่ง จึงยอมนั่งลง
-
หลังจากนั้น นายอุทัย ได้ให้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมช.สาธารณสุข ชี้แจงนโยบาย 30 บาทรักษาได้ทุกโรค โดย น.พ.สุรพงษ์ ใช้เวลาชี้แจงประมาณ 30 นาที อธิบายถึงความจำเป็นในการทำโครงการนี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า จะนำเงินงบประมาณจากที่ใดมาสนับสนุนโครงการตามที่ นายอภิสิทธิ์ ตั้งข้อสังเกต
-
เมื่อ น.พ.สุรพงษ์ อภิปรายจบแล้ว นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอใช้สิทธิพาดพิง ชี้แจงการอภิปราย อีกประมาณ 2 นาที
-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายชวน อภิปรายจบ
นายอุทัย ได้สั่งปิดการอภิปรายทันที
ทำให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งมีคิวอภิปรายคนต่อไป ลุกขึ้นประท้วงนายอุทัย ว่า
ปล่อยให้ น.พ.สุรพงษ์ ชี้แจงจบแล้ว แต่ไม่ให้เขาพูดต่อ ได้อย่างไร
-
"ประธานกลัวว่าผมจะพูดอะไรหรือครับ" นายพิเชษฐ กล่าว
พร้อมกับยืนประท้วงต่อ จนนายอุทัย สั่งให้นั่งลง
โดยระบุว่า หากไม่นั่ง ก็จะไม่พูดด้วย
- - - - - - - - - -
(ที่มาของโฆษณายาแก้ริดสีดวง ยุค 15-20 ปีก่อน
ที่บอกว่า ทำไมคุณถึงไม่นั่ง เพราะลมมันเย็น - กูเพิ่มเอง)
- - - - - - - - - -
จากนั้น นายอุทัย ได้ชี้แจงว่า ไม่ได้กลัวอะไร พร้อมกับอ้างว่า ได้ตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่า จะใช้เวลาประชุมกันถึงเวลา 21.30 น.เมื่อกล่าวจบ นายอุทัย ก็กล่าวว่า ขอปิดการประชุมพร้อมกับลุกออกจากบัลลังก์ทันที โดยไม่ฟังเสียง นายพิเชษฐ ที่พยายามประท้วงอยู่ด้านล่าง
- - - - - - - - - -
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า นโยบายหลายอย่างของรัฐบาลคลาดเคลื่อน ไปจากนโยบายที่พรรคไทยรักไทยประกาศไว้
-
นอกจากนี้ นโยบายเร่งด่วนที่มาจากวาระแห่งชาตินั้น แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับเป็นผู้นำไปบรรจุไว้ในร่างนโยบายด้วยตัวเองในวันสุดท้าย ก่อนที่จะแถลงต่อรัฐสภา ทำให้เชื่อว่าที่ไม่บรรจุไว้ตอนแรก เพราะรัฐมนตรีหลายคนก็ไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้จริง
-
ซัดใช้การตลาดนำการเมืองหาเสียง
-
เขาขนานนามแนวทางของพรรคไทยรักไทยที่ใช้ในการหาเสียง ว่า เป็นนโยบายการตลาดนำการเมือง ซึ่งแม้จะตรงกับความต้องการของประชาชน แต่สภาพความเป็นจริงของประเทศไม่สามารถตอบสนองได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อประชาชนตัดสินใจเลือกมาแล้วรัฐบาลก็ไม่มีทางเลือก จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องหยุดใช้การตลาดนำการเมือง เพราะไม่จำเป็นอีกต่อไปที่ต้องหาเสียง แต่รัฐบาลมีพันธะที่จะต้องนำนโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้ดีที่สุด ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดใจกว้าง อะไรที่เคยพูดเกินเลยไปถ้าอธิบายแล้วสังคมก็จะให้โอกาส แต่ต้องเริ่มจากการพูดความจริง ซึ่งตนหวังว่ารัฐบาลจะใช้เวทีนี้พูดความจริง แต่ผิดหวัง เพราะรัฐบาลยังใช้หลักพูดจาเอาใจเพื่อประคับประคองสถานการณ์ไปแบบวันต่อวัน
-
"ผมยกตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งความเข้าใจของคนทั้งประเทศไม่ตรงกับที่ท่านอธิบาย ความคาดหวังเขา คือ มีเงิน 1 ล้านบาทไปหมู่บ้าน แล้วเขาจะใช้จ่ายอะไรเป็นเรื่องของเขา เขาอาจคิดคำนวณไปแล้วว่าแต่ละครัวเรือนได้เท่าไหร่ เพราะสอดคล้องกับที่ท่านบอกว่านโยบายนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นกองทุนพัฒนาอาชีพ ต้องให้เสนอโครงการมาให้พิจารณา การกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เป็นจริง เพราะกว่าจะได้ใช้เงินก็ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายพักหนี้เกษตรกรนั้น ยอมรับว่า ตอนหาเสียงมีคำว่ารายย่อยจริง แต่เป็นการมาเติมเฉพาะช่วงท้ายของการหาเสียงเท่านั้น
-
30 บาท รักษาทุกโรค ยังพูดความจริงไม่หมด
จุดที่ นายอภิสิทธิ์ เน้นในการอภิปรายครั้งนี้ คือ โครงการรักษาทุกโรค 30 บาทของกระทรวงสาธารณสุข
-
เขากล่าวว่า นโยบายนี้ของพรรคไทยรักไทยโดนใจประชาชน เพราะเป็นการสร้างความหวัง ว่าประชาชนทุกคนจะอยู่ใต้ระบบการรักษาพยาบาลระบบเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิเหนือใคร ทุกคนใช้บัตรประชาชนเดินเข้าโรงพยาบาล ก็สามารถรับการรักษาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายนี้ รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอย่างแน่นอน โดยยกตัวอย่างการศึกษาว่า หากดำเนินการตามที่รัฐบาลประกาศ จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกให้ประชาชนรับทราบ
-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตอนที่ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมช.สาธารณสุข คิดและทำนโยบายนี้ มีรายละเอียดเป็นหลักฐาน ว่า ผู้เข้าโครงการต้องจ่ายเงินสมทบเดือนละ 100 บาท แต่วันนี้ไม่มี ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างไร เงินจะลอยมาได้เองเป็นไปไม่ได้
-
"การศึกษายังลงรายละเอียดว่าแม้เก็บภาษีท้องถิ่นเพิ่มแล้ว ยังต้องเอาเงินจากรัฐบาลกลาง อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี อันนี้ต้องบอกประชาชน"
-
เขายังกล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องบอกด้วยว่า การดำเนินการ ต้องเลือกวิธีไหน ใช้การประกันสุขภาพให้เงินสมทบแต่ยกเว้นคนมีรายได้น้อยก็บอก หรือบอกว่าเลิกคิด แล้วเอาระบบสวัสดิการทั้งประเทศซึ่งทำได้ แต่ถ้าไปตรวจสอบทั่วโลกมีทางเลือกเกิดขึ้น คือ ต้องใช้เงินภาษีมากกว่าปัจจุบันมาก ต้องขึ้นภาษีเป็นร้อยละ 50-60 หรือบางประเทศถึงร้อยละ 80 ซึ่งต้องไปถามนักธุรกิจว่าพร้อมจ่ายหรือไม่ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องให้โรงพยาบาลบริการไปเองตามงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบนี้ในประเทศอังกฤษคือ การรักษาบางโรค เช่น ผ่าตัดต้องรอคิวกันเป็นปี"
- - - - - - - - - -
ในลำดับถัดๆไป เดี๋ยวจะเขียนอธิบายว่า มีความพยายามในการล้มและแทรกแซง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างไร มาเผยแพร่ ให้ประชาชน รู้เท่าทัน พรรคประชาธิปัตย์ และอำมาตย์ชั่ว
-
-
สำหรับท่านที่อ่านมา "โดยละเอียด" ทั้งหมด
กูขอสรุปให้ว่า โครงการนี้ เป็นอย่างไร ดังนี้
"หมอสงวนคิด ทักษิณให้ทำ คนระยำค้าน ทหารเอาไปโชว์"
ได้ฤกษ์ขอจัดหนักเพจโง่ๆแบบ @ตบดิ้น ซะที
ได้ฤกษ์ขอจัดหนักเพจโง่ๆแบบ @ตบดิ้น ซะที
คือ ผมเห็นโพสโง่ๆ ของอิ @ตบดิ้น มาเยอะ แต่ที่ผ่านมาปล่อยผ่านเพราะถือว่าเสียเวลากับคนบ้า มากไปไม่ดีเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่พอดี อันนี้เห็นมันเมากาวมากจนเอาเนื้อหามาบิดเบือนหลายอันเลยขอจัดซะหน่อย
อันดับแรก ถามว่าตรรกะอะไรของมึงครัช ประเทศประชาธิปไตยต้องด่าทุกอย่าง ถ้าประเทศเผด็จการไม่ต้องด่า เพราะเผด็จการอยู่แล้ว 5555 ... พอๆกับบอกว่าถ้ากษัตริย์ประเทศอื่นด่าได้ แต่ถ้าภูมิพลห้ามด่าเพราะไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย .. สุดท้ายภูมิพลแม่งก็โดนคนทั่วโลกด่าอยู่ดี แถมโดนเยอะกว่ากษัตริย์ประเทศที่เค้าให้ด่าได้หลายเท่า กรูละขรรม
ประเด็นคือ ทุกประเทศบนโลกแม่มปกครองด้วยมนุษย์ขี้เหม็นด้วยกันทั้งโลก ดังนั้นไม่ควรมีประเทศไหน ผู้นำประเทศ ผู้นำศาสนาคนไหน ควรเล็ดลอดการวิจารณ์ การเอาไปล้อเลียนทั้งนั้น .... ฝรั่งเศสนี่ในโลกตะวันตกเองก็ไม่เคยมีใครยกย่องว่า เป็นประเทศเกรด A ดีเลิศนะครัช ยังห่างกับอีกหลายๆประเทศประเทศ ซึ่งไอ้ประเทศอื่นๆที่ว่าก็มีนโยบายการให้วิจารณ์ศาสนาได้ไม่ต่างจาก ฝรั่งเศส แต่ที่แน่ๆประเทศโลกที่ 1 ไม่ว่าจะฝรั่งเศส สหรัฐ แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ยุโรปประเทศอื่นๆ โดยทั่วไปมันดีกว่าประเทศโลกที่ 3 หลายๆที่แน่นอน ไม่งั้น คงไม่มี มนุษย์กะลา ฝุ่นใต้ตีนภูมิพล ยอมลดตำแหน่งงาน อย่างประเทศที่แอดมินอยู่ วิศวะ หมอ พยาบาล จากกะลาแลนด์หนีมาทำงานใช้แรงงาน เพื่อขอ citizen กันเพียบ ไม่นับพวกนกหวีดลายธงชาติที่พอเกษียณก็โอนเงินย้ายตูดมากินรัฐสวัสดิการ ที่กรูทำเงินเสียภาษี
ถึงกระนั้นต่อให้ฝรั่งเศสจะเหี้ยเย็ดเป็ด อย่างที่มึงยกมา แต่ตัวอย่างของมึงนี่ก็มั่วฉิบหาย มั่วแหลกเลยครัช
1.Loi interdisant la dissimulation du visage dans l'espace public หรือ รัฐบัญญัติห้ามปกปิดใบหน้าในสาธารณสถาน
[1] สิ่งที่ฝรั่งเศสห้ามใส่มีแค่ burqas และนิกอบ niqābs เพราะมันปิดเหลือแต่ลูกตาหรือปิดทั้งหน้า ทำให้มีปัญหาระบุตัวตน identification เค้าไม่ได้ห้ามใส่ chador หรือ ฮิญาบ ผ้าคลุมผมสตรีมุสลิมแบบทั่วๆไป
[2].... ถ้ามึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาวันหน้าเดินใส่หน้ากากไอ้โม่งไปทำบัตร ประชาชนด้วยนะครัช
2.การห้ามใส่ chador หรือ ฮิญาบ ในฝรั่งเศสเท่าที่ถามคนที่อยู่ที่นั่นมานาน มันเป็นนโยบายของบางที่ทำงานเท่านั้น เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งงาน เช่น ข้าราชการที่รับเงินมาจากคนทุกศาสนาขณะปฏิบัติงานก็ไม่ควรแสดงสัญลักษณ์ทาง ศาสนาขณะทำงาน แต่ถ้านอกเวลางานจะใส่ผ้าคลุมอะไรก็ได้ ถ้าไม่พอใจก็มี option ลาออกไปหางานบริษัทอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่ห้ามคลุมผมทำได้ ... ถ้าเชื่อตามพรีเมทีฟ ตบด้น ผมนี่นึกภาพแอร์สายการบิน คลุมผ้าไอ้โม่ง เสริฟอาหารเลยครัช
3.กรณีมัสยิดที่ มาร์กเซย์ที่ห้ามสร้างมึง update ข่าวด้วยครัช ละสายตาจากข่าวสองทุ่ม มาบ้าง ... ศาลฝรั่งเศสกลับคำตัดสินให้สร้างมัสยิดนี้ได้แล้ว แล้วตอนแรกไอ้พวกที่ไปร้องให้มัสยิดสร้างไม่ได้ ก็พวกขวาจัดคลั่งชาติ พรรค National Front ของเจ๊ Le pen ซึ่งสันดานเหมือนพวกมึงนั่นแหละครัช ไม่ใช่พวกเสรีนิยม หรือฝ่ายซ้าย และเท่าที่ผมอ่านผ่านๆตา พวกที่เข้าไป ขัดขวางการสร้างมัสยิดในสวิส หรือเยอรมันก็พวกฝ่ายขวา คริสเตียนเคร่งศาสนาอีกเช่นกัน ... และนี่ผมรออยู่นะครัชประเทศเผด็จการแบบจีน จะมีคำสั่งศาลออกมาเมื่อไหร่ว่าจะ ให้รัฐบาลเผด็จการจีนยกเลิกการจำกัดอายุคนที่เข้าไปละหมาด555
ปิดท้ายตอบดิ้นจบแบบน้ำเน่าว่า Free speech ทำร้ายจิตใจคนนับถือศาสนา คนนับถือภูมิพล คนนับถือบลาๆๆ .... แล้วที่มึงด่าฝ่ายเสรีนิยม ริเบอร่งริเบอร่าน เอธีสบ้าบอ ทาสแม้ว ควายแดง นี่ไม่เรียกว่ามึงใช้ Free Speech เหรอครัช 5555555
แล้วประเทศที่จำกัด free speech นี่มันสงบกว่าประเทศ free speech ตรงไหน มึงหาหลักฐานสถิข้อมูลมาตอบอย่าปากเปล่า ในประเทศที่จำกัด freedom of speech เช่น จีน ซาอุ อิหร่าน เกาหลีเหนือ ไม่มีคนตาย? ... เพิ่งโพสเรื่อง Global Peace Index (GPI) ไปประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก 10 อันดับแรกไม่มีฝรั่งเศสครัช แต่แม่งเป็นประเทศ free speech ส่วนอื่นในโลกเกือบทั้งหมด ไม่ว่า แสกนดิเนเวีย เบลเยี่ยม สวิส ออสเตรีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น[4]
สรุปคือ Free Speech ใช้ได้เฉพาะเวลาพวกกูด่าพวกมึง แต่ถ้าเป็น free speech ที่พวกมึง ด่าพวกกู ต้องตามฆ่า ตามล่าด้วย 112 เกร๋ๆ
[1]http://www.dailymail.co.uk/…/Frances-Senate-bans-women-wear…
[2]http://edition.cnn.com/…/WO…/europe/09/14/france.burqa.ban/…
[3]http://www.france24.com/…/20120619-marseille-mega-mosque-ge…
[4]https://www.facebook.com/fedexfc.humanist/photos/pb.908282325851564.-2207520000.1421307979./937050382974758/?type=1
คือ ผมเห็นโพสโง่ๆ ของอิ @ตบดิ้น มาเยอะ แต่ที่ผ่านมาปล่อยผ่านเพราะถือว่าเสียเวลากับคนบ้า มากไปไม่ดีเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่พอดี อันนี้เห็นมันเมากาวมากจนเอาเนื้อหามาบิดเบือนหลายอันเลยขอจัดซะหน่อย
อันดับแรก ถามว่าตรรกะอะไรของมึงครัช ประเทศประชาธิปไตยต้องด่าทุกอย่าง ถ้าประเทศเผด็จการไม่ต้องด่า เพราะเผด็จการอยู่แล้ว 5555 ... พอๆกับบอกว่าถ้ากษัตริย์ประเทศอื่นด่าได้ แต่ถ้าภูมิพลห้ามด่าเพราะไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย .. สุดท้ายภูมิพลแม่งก็โดนคนทั่วโลกด่าอยู่ดี แถมโดนเยอะกว่ากษัตริย์ประเทศที่เค้าให้ด่าได้หลายเท่า กรูละขรรม
ประเด็นคือ ทุกประเทศบนโลกแม่มปกครองด้วยมนุษย์ขี้เหม็นด้วยกันทั้งโลก ดังนั้นไม่ควรมีประเทศไหน ผู้นำประเทศ ผู้นำศาสนาคนไหน ควรเล็ดลอดการวิจารณ์ การเอาไปล้อเลียนทั้งนั้น .... ฝรั่งเศสนี่ในโลกตะวันตกเองก็ไม่เคยมีใครยกย่องว่า เป็นประเทศเกรด A ดีเลิศนะครัช ยังห่างกับอีกหลายๆประเทศประเทศ ซึ่งไอ้ประเทศอื่นๆที่ว่าก็มีนโยบายการให้วิจารณ์ศาสนาได้ไม่ต่างจาก ฝรั่งเศส แต่ที่แน่ๆประเทศโลกที่ 1 ไม่ว่าจะฝรั่งเศส สหรัฐ แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ยุโรปประเทศอื่นๆ โดยทั่วไปมันดีกว่าประเทศโลกที่ 3 หลายๆที่แน่นอน ไม่งั้น คงไม่มี มนุษย์กะลา ฝุ่นใต้ตีนภูมิพล ยอมลดตำแหน่งงาน อย่างประเทศที่แอดมินอยู่ วิศวะ หมอ พยาบาล จากกะลาแลนด์หนีมาทำงานใช้แรงงาน เพื่อขอ citizen กันเพียบ ไม่นับพวกนกหวีดลายธงชาติที่พอเกษียณก็โอนเงินย้ายตูดมากินรัฐสวัสดิการ ที่กรูทำเงินเสียภาษี
ถึงกระนั้นต่อให้ฝรั่งเศสจะเหี้ยเย็ดเป็ด อย่างที่มึงยกมา แต่ตัวอย่างของมึงนี่ก็มั่วฉิบหาย มั่วแหลกเลยครัช
1.Loi interdisant la dissimulation du visage dans l'espace public หรือ รัฐบัญญัติห้ามปกปิดใบหน้าในสาธารณสถาน
[1] สิ่งที่ฝรั่งเศสห้ามใส่มีแค่ burqas และนิกอบ niqābs เพราะมันปิดเหลือแต่ลูกตาหรือปิดทั้งหน้า ทำให้มีปัญหาระบุตัวตน identification เค้าไม่ได้ห้ามใส่ chador หรือ ฮิญาบ ผ้าคลุมผมสตรีมุสลิมแบบทั่วๆไป
[2].... ถ้ามึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาวันหน้าเดินใส่หน้ากากไอ้โม่งไปทำบัตร ประชาชนด้วยนะครัช
2.การห้ามใส่ chador หรือ ฮิญาบ ในฝรั่งเศสเท่าที่ถามคนที่อยู่ที่นั่นมานาน มันเป็นนโยบายของบางที่ทำงานเท่านั้น เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งงาน เช่น ข้าราชการที่รับเงินมาจากคนทุกศาสนาขณะปฏิบัติงานก็ไม่ควรแสดงสัญลักษณ์ทาง ศาสนาขณะทำงาน แต่ถ้านอกเวลางานจะใส่ผ้าคลุมอะไรก็ได้ ถ้าไม่พอใจก็มี option ลาออกไปหางานบริษัทอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่ห้ามคลุมผมทำได้ ... ถ้าเชื่อตามพรีเมทีฟ ตบด้น ผมนี่นึกภาพแอร์สายการบิน คลุมผ้าไอ้โม่ง เสริฟอาหารเลยครัช
3.กรณีมัสยิดที่ มาร์กเซย์ที่ห้ามสร้างมึง update ข่าวด้วยครัช ละสายตาจากข่าวสองทุ่ม มาบ้าง ... ศาลฝรั่งเศสกลับคำตัดสินให้สร้างมัสยิดนี้ได้แล้ว แล้วตอนแรกไอ้พวกที่ไปร้องให้มัสยิดสร้างไม่ได้ ก็พวกขวาจัดคลั่งชาติ พรรค National Front ของเจ๊ Le pen ซึ่งสันดานเหมือนพวกมึงนั่นแหละครัช ไม่ใช่พวกเสรีนิยม หรือฝ่ายซ้าย และเท่าที่ผมอ่านผ่านๆตา พวกที่เข้าไป ขัดขวางการสร้างมัสยิดในสวิส หรือเยอรมันก็พวกฝ่ายขวา คริสเตียนเคร่งศาสนาอีกเช่นกัน ... และนี่ผมรออยู่นะครัชประเทศเผด็จการแบบจีน จะมีคำสั่งศาลออกมาเมื่อไหร่ว่าจะ ให้รัฐบาลเผด็จการจีนยกเลิกการจำกัดอายุคนที่เข้าไปละหมาด555
ปิดท้ายตอบดิ้นจบแบบน้ำเน่าว่า Free speech ทำร้ายจิตใจคนนับถือศาสนา คนนับถือภูมิพล คนนับถือบลาๆๆ .... แล้วที่มึงด่าฝ่ายเสรีนิยม ริเบอร่งริเบอร่าน เอธีสบ้าบอ ทาสแม้ว ควายแดง นี่ไม่เรียกว่ามึงใช้ Free Speech เหรอครัช 5555555
แล้วประเทศที่จำกัด free speech นี่มันสงบกว่าประเทศ free speech ตรงไหน มึงหาหลักฐานสถิข้อมูลมาตอบอย่าปากเปล่า ในประเทศที่จำกัด freedom of speech เช่น จีน ซาอุ อิหร่าน เกาหลีเหนือ ไม่มีคนตาย? ... เพิ่งโพสเรื่อง Global Peace Index (GPI) ไปประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก 10 อันดับแรกไม่มีฝรั่งเศสครัช แต่แม่งเป็นประเทศ free speech ส่วนอื่นในโลกเกือบทั้งหมด ไม่ว่า แสกนดิเนเวีย เบลเยี่ยม สวิส ออสเตรีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น[4]
สรุปคือ Free Speech ใช้ได้เฉพาะเวลาพวกกูด่าพวกมึง แต่ถ้าเป็น free speech ที่พวกมึง ด่าพวกกู ต้องตามฆ่า ตามล่าด้วย 112 เกร๋ๆ
[1]http://www.dailymail.co.uk/…/Frances-Senate-bans-women-wear…
[2]http://edition.cnn.com/…/WO…/europe/09/14/france.burqa.ban/…
[3]http://www.france24.com/…/20120619-marseille-mega-mosque-ge…
[4]https://www.facebook.com/fedexfc.humanist/photos/pb.908282325851564.-2207520000.1421307979./937050382974758/?type=1
กระทู้เมาท์มอยเรื่องจุฬาภรณ์โดยชาวแคนาดานี้ ก็ผ่านมาแล้ว 10 ปี (ก่อนเกิดศึกเหลือแดง)
เปิดกะลาไทย by Fedexfc Humanist's photos
jehovahs-witness.com เป็นเว็บที่เปิดมาแล้วเกินส ิบปี และกระทู้เมาท์มอยเรื่องจุฬ าภรณ์โดยชาวแคนาดานี้ ก็ผ่านมาแล้ว 10 ปี (ก่อนเกิดศึกเหลือแดง) โพสเมื่อปี 2004 ที่เกิด Tsunami ในประเทศไทย
ผู้ใช้ชื่อ orbison11 (ซึ่งถ้ากดไปดูประวัติจะเห็ นว่าเป็นชาวแคนาดาที่โพสในเ ว็บนี้มานานมากโพสเล่าว่า)
"เจ้าหญิงแห่งประเทศไทย(จุฬ าภรณ์) ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพ ักผ่อนเล่นสกีที่แวนคูเวอร์ และชาวเมืองต่างก็ไม่ค่อยชอ บใจกับปรากฎการณ์นี้ (เพราะตอนนั้นประเทศไทยเพิ่ งเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่มไป สดๆ
ร้อนๆ)... เธอและข้ารับใช้ของเธออีก 16 คน รถลีมูซีนหลายคัน
และจ่ายค่าโรงแรมคืนละ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 30,000) บาทต่อห้อง
(หลายๆห้อง) เสื้อขนมิงค์ เธออ้างว่าเธอต้องมาแวนคูเว อร์เพื่อเยี่ยมบ้านที่ถูกไฟ ไหม้ของเธอเมื่อปีก่อน และเธอต้องมาเซ็นเอกสารขายบ ้าน พร้อมกับเล่นสกีที่ Whistler (เมืองสกีสุดหรูของแคนาดา)
พวกเราในแวนคูเวอร์พยายามช่ วยกันหาเงินหลายล้านเหรียญเ พื่อส่งไปให้คนในบ้านเกิดขอ งเธอ
ทั้งหมดนี้เป็นข่าวใหญ่สุดข องข่าวภาคค่ำวันนี้"
พี่น้องที่อยู่ในกะลาแลนด์ ถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยไม่ต้อง like ไม่ต้องแชร์นะครัช ด้วยความเป็นห่วง ส่วนใครอยากอ่านคำสรรเสริญค วามพอเพียง ของจุฬาภรณ์เพิ่มเชิญ link ด้านล่าง
http:// www.jehovahs-witness.com/ topic/83488/ princess-thailand-on-holida ys-here-vancouver?page=1
ผู้ใช้ชื่อ orbison11 (ซึ่งถ้ากดไปดูประวัติจะเห็
"เจ้าหญิงแห่งประเทศไทย(จุฬ
พวกเราในแวนคูเวอร์พยายามช่
ทั้งหมดนี้เป็นข่าวใหญ่สุดข
พี่น้องที่อยู่ในกะลาแลนด์ ถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยไม่ต้อง
http://
Monday, January 5, 2015
เออ เค้าจะเข็น พรบ. นิรโทษกรรม ออกมาอีกรอบแล้วนะน้อง..
ขอกูพูดบ้างเหอะ
1 hr ·
เออ เค้าจะเข็น พรบ. นิรโทษกรรม ออกมาอีกรอบแล้วนะน้อง.. เมสเสจมาได้เผื่อคราวหน้าเราไปประท้วงพร้อมกัน ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่ง
Read More »
เออ เค้าจะเข็น พรบ. นิรโทษกรรม ออกมาอีกรอบแล้วนะน้อง.. เมสเสจมาได้เผื่อคราวหน้าเราไปประท้วงพร้อมกัน ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่ง
เปิดรายตัวเลข "งบดับไฟใต้" พุ่งทะลุ 2.3 แสนล้าน ปี 58 ยุครัฐบาล
เปิดรายตัวเลข "งบดับไฟใต้" พุ่งทะลุ 2.3 แสนล้าน
ปี 58 ยุครัฐบาล "คสช." ตั้งงบไว้ 25,744.3 ล้านบ.
งบดับไฟใต้ตามแผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2558 ยุครัฐบาล คสช. ตั้งงบไว้จำนวน 25,744.3 ล้านบาท
Read More »
ปี 58 ยุครัฐบาล "คสช." ตั้งงบไว้ 25,744.3 ล้านบ.
งบดับไฟใต้ตามแผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2558 ยุครัฐบาล คสช. ตั้งงบไว้จำนวน 25,744.3 ล้านบาท
นี่เป็นตัวเลขเฉพาะงบฟังก์ชัน หรืองบโครงการ ยังไม่รวมงบรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อ ดูงบประมาณ ย้อนหลังไปในช่วง 10 ปี
พบว่า งบที่ตั้งไว้ในปี 2558 สูงสุดเป็นอันดับ 3
รองจากงบปี 2552 และ 2557
(ปี 52 รัฐบาลใครหว่า ปีที่จัดซื้อ เรือเหาะ และ GT 200
ผบ.ทบ.ชื่ออนุพงษ์ ใช่ป่ะ)
ส่วนงบปี 2557 ตั้งในช่วงปี 2556
ตอนนั้น ปูกำลังเอาใจกองทัพ (เพื่อไม่ให้ รปห.)
หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงิน
1) กอ.รมน. จำนวน 8,191.18 ล้านบาท
2) ศอ.บต. 2,767.33 ล้านบาท
3) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 2,648.99 ล้านบาท
4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) 1,881.66 ล้านบาท
5) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,742.60 ล้านบาท
6) กรมโยธาธิการและผังเมือง 1,176.42 ล้านบาท
7) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 1,122.84 ล้านบาท
(หน่วยงานที่เหลือได้รับการจัดสรรต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท)
น่าสังเกตว่า งบดับไฟใต้ของหน่วยงานด้านความมั่นคง
มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่น กอ.รมน.เฉพาะภารกิจดับไฟใต้ ในปีงบฯ 2557
ได้รับการจัดสรร 7,516 ล้านบาท
ปี 2558 พุ่งขึ้นเป็น 8,191 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท เป็นต้น
ปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท
ปี 2548 จำนวน 13,674 ล้านบาท
ปี 2549 จำนวน 14,207 ล้านบาท
ปี 2550 จำนวน 17,526 ล้านบาท
ปี 2551 จำนวน 22,988 ล้านบาท
ปี 2552 จำนวน 27,547 ล้านบาท
ปี 2553 จำนวน 16,507 ล้านบาท
ปี 2554 จำนวน 19,102 ล้านบาท
ปี 2555 จำนวน 16,277 ล้านบาท
ปี 2556 จำนวน 21,124 ล้านบาท
ปี 2557 จำนวน 25,921 ล้านบาท
ปี 2558 จำนวน 25,744.3 ล้านบาท
- - - - - - - -
แต่ทั้งหมด แปลว่า จะไม่สงบไปอีกนาน
เพราะ "ถ้า สงบ" กองทัพ ก็จะไม่มีที่แดกงบลับ
ไอ้เณร ทั้งหลายที่ถูกส่งไปประจำการ ล้วนได้รับเงินไม่ครบ
แม้จะเซ็นรับเงินครบตามจำนวน อิอิ
เมื่อ ดูงบประมาณ ย้อนหลังไปในช่วง 10 ปี
พบว่า งบที่ตั้งไว้ในปี 2558 สูงสุดเป็นอันดับ 3
รองจากงบปี 2552 และ 2557
(ปี 52 รัฐบาลใครหว่า ปีที่จัดซื้อ เรือเหาะ และ GT 200
ผบ.ทบ.ชื่ออนุพงษ์ ใช่ป่ะ)
ส่วนงบปี 2557 ตั้งในช่วงปี 2556
ตอนนั้น ปูกำลังเอาใจกองทัพ (เพื่อไม่ให้ รปห.)
หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงิน
1) กอ.รมน. จำนวน 8,191.18 ล้านบาท
2) ศอ.บต. 2,767.33 ล้านบาท
3) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 2,648.99 ล้านบาท
4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) 1,881.66 ล้านบาท
5) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,742.60 ล้านบาท
6) กรมโยธาธิการและผังเมือง 1,176.42 ล้านบาท
7) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 1,122.84 ล้านบาท
(หน่วยงานที่เหลือได้รับการจัดสรรต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท)
น่าสังเกตว่า งบดับไฟใต้ของหน่วยงานด้านความมั่นคง
มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่น กอ.รมน.เฉพาะภารกิจดับไฟใต้ ในปีงบฯ 2557
ได้รับการจัดสรร 7,516 ล้านบาท
ปี 2558 พุ่งขึ้นเป็น 8,191 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท เป็นต้น
ปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท
ปี 2548 จำนวน 13,674 ล้านบาท
ปี 2549 จำนวน 14,207 ล้านบาท
ปี 2550 จำนวน 17,526 ล้านบาท
ปี 2551 จำนวน 22,988 ล้านบาท
ปี 2552 จำนวน 27,547 ล้านบาท
ปี 2553 จำนวน 16,507 ล้านบาท
ปี 2554 จำนวน 19,102 ล้านบาท
ปี 2555 จำนวน 16,277 ล้านบาท
ปี 2556 จำนวน 21,124 ล้านบาท
ปี 2557 จำนวน 25,921 ล้านบาท
ปี 2558 จำนวน 25,744.3 ล้านบาท
- - - - - - - -
แต่ทั้งหมด แปลว่า จะไม่สงบไปอีกนาน
เพราะ "ถ้า สงบ" กองทัพ ก็จะไม่มีที่แดกงบลับ
ไอ้เณร ทั้งหลายที่ถูกส่งไปประจำการ ล้วนได้รับเงินไม่ครบ
แม้จะเซ็นรับเงินครบตามจำนวน อิอิ
กรณี นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมทั้งไทยและพม่า
กรณี
นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมทั้งไทยและพม่า พี่สร้างกระแสเรื่องพม่าเรียกไทย
ว่า โยดะยา (Yodaya) หรือในหนังพระนเรศวรเรียกว่า โยเดีย
ว่าเป็นเพราะพม่าได้ชัยชนะเหนือ อยุธยา เลยตัดคำว่า อ ทิ้ง จาก อโยธยา เป็น
โยธยา ที่แปลว่าเมืองที่โดนข้าศึกบุกแล้ว
บอกเลยว่า มึงคิดมาก และหลอกคนโง่กัดกัน
เอกสารในล้านนา เรียกอยุธยาว่า โยธิยา มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ชื่อกรุงเทพก็เรียก กรุงเทพพโยธิยาพระมหานคอร
Read More »
บอกเลยว่า มึงคิดมาก และหลอกคนโง่กัดกัน
เอกสารในล้านนา เรียกอยุธยาว่า โยธิยา มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ชื่อกรุงเทพก็เรียก กรุงเทพพโยธิยาพระมหานคอร
เรามี...
เรามีพระอย่าง "ว.วชิรเมธี" มาสอนว่า "ธรรมกาย" อันตราย
เรามีคนอย่าง "หม่อมอุ๋ย" มาบอกว่านโยบายคนอื่นประชานิยม ทำลายชาติ
เรามีคนอย่าง "สุเทพ เทือกสุบรรณ " มาไล่คนโกง
Read More »
เรามีคนอย่าง "หม่อมอุ๋ย" มาบอกว่านโยบายคนอื่นประชานิยม ทำลายชาติ
เรามีคนอย่าง "สุเทพ เทือกสุบรรณ " มาไล่คนโกง
เรามีคนอย่าง "ปนัดดา ดิศกุล" มาสอนคนอื่นให้เป็นคนดี รู้จักละอายต่อการทุจริต คอร์รัปชั่น
เรามีคนอย่าง "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" มาสอนให้คนอื่นเคารพกติกา
เรามีคนอย่าง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มาเรียกร้องสปิริตของนักการเมือง
เรามีคนอย่าง "ดร.เสรี วงศ์มณฑา" มาแหกปากเรื่องความเหมาะสมทางวัฒนธรรมไทย
เรามีคนอย่าง "สมชัย ศรีสุทธิยากร" มาบอกว่าเป็นกลางกับทุกฝ่าย
เรามี "คณะรัฐประหาร" มาสอนเรื่อง "ประชาธิปไตย"
เรามี "เพจดราม่า" มาสอนคนเรื่อง "ความขัดแย้งบนโลกอินเทอร์เน็ต"
เรามี "สมาคมสื่อ" มาคอยเรียกร้องการ "คุกคามสื่อ" เฉพาะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เรามี "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" แต่ไม่เคยมี "ประชาธิปไตย" ในประเทศ
เรามี "รั้วของชาติ" มาคอยทำหน้าที่เป็น "เสาบ้าน" บริหารประเทศ
เรามี "คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ" ที่ปกป้องไม่ได้แม้แต่นักศึกษาชู 3 นิ้ว
เรามีคนที่คอย "ขัดขวางการเลือกตั้ง" มาเป็น กกต.
เรามีคนที่ "เลี่ยงภาษี" นำเข้ารถยนต์ มาเป็น "ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น"
เราเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ฉลาด เป็นคนดี มีการศึกษา รู้จักเลือกสิ่งดีๆ แต่เกือบครึ่งพร้อมใจกันเลือก "หม่อมเอ๋อ" เป็นผู้ว่าอีกสมัย
เรามี "เศรษฐี" มาคอยสอนให้คน "ประหยัดและพอเพียง"
ดังนั้นอย่าแแปลกใจ ถ้าใครจะเรียกประเทศนี้ว่า "ประเทศดัดจริต"
ปล. ส่วนหนึ่งข้อโพสต์นี้ ลอกมาจากเพจ "เจ๊อ๋อย"
#แอดมินดัดจริต
เรามีคนอย่าง "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" มาสอนให้คนอื่นเคารพกติกา
เรามีคนอย่าง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มาเรียกร้องสปิริตของนักการเมือง
เรามีคนอย่าง "ดร.เสรี วงศ์มณฑา" มาแหกปากเรื่องความเหมาะสมทางวัฒนธรรมไทย
เรามีคนอย่าง "สมชัย ศรีสุทธิยากร" มาบอกว่าเป็นกลางกับทุกฝ่าย
เรามี "คณะรัฐประหาร" มาสอนเรื่อง "ประชาธิปไตย"
เรามี "เพจดราม่า" มาสอนคนเรื่อง "ความขัดแย้งบนโลกอินเทอร์เน็ต"
เรามี "สมาคมสื่อ" มาคอยเรียกร้องการ "คุกคามสื่อ" เฉพาะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เรามี "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" แต่ไม่เคยมี "ประชาธิปไตย" ในประเทศ
เรามี "รั้วของชาติ" มาคอยทำหน้าที่เป็น "เสาบ้าน" บริหารประเทศ
เรามี "คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ" ที่ปกป้องไม่ได้แม้แต่นักศึกษาชู 3 นิ้ว
เรามีคนที่คอย "ขัดขวางการเลือกตั้ง" มาเป็น กกต.
เรามีคนที่ "เลี่ยงภาษี" นำเข้ารถยนต์ มาเป็น "ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น"
เราเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ฉลาด เป็นคนดี มีการศึกษา รู้จักเลือกสิ่งดีๆ แต่เกือบครึ่งพร้อมใจกันเลือก "หม่อมเอ๋อ" เป็นผู้ว่าอีกสมัย
เรามี "เศรษฐี" มาคอยสอนให้คน "ประหยัดและพอเพียง"
ดังนั้นอย่าแแปลกใจ ถ้าใครจะเรียกประเทศนี้ว่า "ประเทศดัดจริต"
ปล. ส่วนหนึ่งข้อโพสต์นี้ ลอกมาจากเพจ "เจ๊อ๋อย"
#แอดมินดัดจริต
แสดงความฉลาดไปด่า Air Asia Thailand ว่าบริการห่วยแตก
เอาอีกแล้ว! แสดงความฉลาดไปด่า Air Asia Thailand ว่าบริการห่วยแตก
เครื่องออกเวลา 15.00 น. แต่มาเช็คอินที่สนามบิน 14.45 น. เหลืออีก 15 นาที แล้วไม่ได้ขึ้นเครื่อง
คือนี่่สายการบิน Air Asia นะครับ ไม่ใช่ นครชัยแอร์ จะได้ซื้อตั๋วก่อนรถออก 15 นาทีได้ กฎของสายการบินเขาใช้กันแทบทั่วโลกเขาเขียนไว้ในรายละเอียดชัดเจนว่า
เครื่องออกเวลา 15.00 น. แต่มาเช็คอินที่สนามบิน 14.45 น. เหลืออีก 15 นาที แล้วไม่ได้ขึ้นเครื่อง
คือนี่่สายการบิน Air Asia นะครับ ไม่ใช่ นครชัยแอร์ จะได้ซื้อตั๋วก่อนรถออก 15 นาทีได้ กฎของสายการบินเขาใช้กันแทบทั่วโลกเขาเขียนไว้ในรายละเอียดชัดเจนว่า
"ประตูเครื่องจะปิดก่อน 45 นาที / 1 ชั่วโมง" ก่อนเครื่องออก
นี่สงสัยไม่เคยขึ้นเครื่องบินแน่เลย ครั้งหน้าไปนครชัยแอร์ เถอะนะ
ปล. แอบไปส่องเฟซมา เห็นกดไลค์เพจ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ซะด้วย
#แอดมินดัดจริต
นี่สงสัยไม่เคยขึ้นเครื่องบินแน่เลย ครั้งหน้าไปนครชัยแอร์ เถอะนะ
ปล. แอบไปส่องเฟซมา เห็นกดไลค์เพจ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ซะด้วย
#แอดมินดัดจริต
Friday, January 2, 2015
คำพูดคำจาของคนที่เป็นคนดี
คำพูดคำจาของคนที่เป็นคนดี ดูจากในภาพแล้วการันตีคุณภา พได้เลย เต็มไปด้วย Hate Speech
ด่าคนอีสานว่าควายรับจ้าง ยังไม่เพียงพอยังเอาคำว่ากะ หรี่ มาโจมตีอดีตนายกอีก ก็ไม่เข้าใจคนดีทำไมมันเป็น แบบนี้กันหมด ประเทศชาติไม่มีวันปรองดองไ ด้ ถ้าคนแบบนี้ยังอยู่
นี่ถ้าใช้โปรไฟล์เลข ๙ นี่ครบคุณสมบัติเลยนะ
ปล. ภาพนี้คนส่งมาให้เขาบอกว่าไ ม่ต้อง Censor ก็จัดไป
#แอดมินดัดจริต
ด่าคนอีสานว่าควายรับจ้าง ยังไม่เพียงพอยังเอาคำว่ากะ
นี่ถ้าใช้โปรไฟล์เลข ๙ นี่ครบคุณสมบัติเลยนะ
ปล. ภาพนี้คนส่งมาให้เขาบอกว่าไ
#แอดมินดัดจริต
ความมั่นคงของชาติ กับความเข้าใจที่ผิดๆ ของกองทัพไทย
#กูปลูกปัญญา
ความมั่นคงของชาติ กับความเข้าใจที่ผิดๆ ของกองทัพไทย
#พวกผู้นำเหล่าทัพมึงไปเอาความมั่นใจที่ผิดๆมาจากไหนวะ
การแก้ปัญหาความมั่นคงของชาติ ที่แท้จริง
ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ แต่เพียงอย่างเดียว
เพราะความมั่นคงของชาติ เกี่ยวพันโดยตรงกับประชาชน
ดังนั้น การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
ก็คือการสร้างความมั่นคงของชาติ เพราะชาติ คือ ประชาชน
หากไม่มีประชาชนแล้วไซร้ แผ่นดินมันก็เพียงแค่สิ่งสมมุติขึ้น
ถ้าไม่มีประชาชน ก็ไม่มีชาติ และถ้าประชาชนไม่จ่ายภาษี
ทหารแบบพวกมึงพวกกู จะเอาเงินที่ไหนมาแดกทุกเดือนแบบนี้
สำนึกในบุญคุณประชาชนซะ
สมาชิกเพจท่านหนึ่งบอกว่า ... ไม่แน่ใจ ว่า "กองทัพไทย" อัพเดทหลักสูตร ความเข้าใจเรื่องความมั่นคงหรือยัง เนื่องจาก "โลกปัจจุบัน" ไม่ได้พูดกันเฉพาะ "ความมั่นคงทางทหาร" เพราะวิธีคิดทางทหารนั้น ถูกปรับไปใช้ในทาง "เพื่อสันติ" มากขึ้น
- - - - - - - - - -
ในฐานะที่ "ไทย" เป็นสมาชิกของ สหประชาชาติ (UN - United Nations)
จึงขอนำเสนอให้ กองทัพไทย ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นคงเสียใหม่
ไม่ให้สัมภาษณ์ โชว์โง่ แบบรายวันเหมือน นายประยุทธ์ (ควายตู้)
หรือแม้แต่ นายอุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ที่สัมภาษณ์อย่างกับคนไม่รู้หนังสือ
เอะเอะ ก็พูดแต่ความมั่นคงเพียงเรื่องเดียว โดยไม่มีความรู้เรื่องอื่นๆ
ทั้งที่ ความมั่นคงนั้น มีความหมาย ครอบคลุมหลายด้าน
ทาง UN แบ่งความมั่นคงเป็น 7 ด้าน ดังนี้
UNDP's 1994 definition
(UNDP - United Nations Development Programme)
1. ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ (Economic security)
2. ความมั่นคงด้านอาหาร (Food security)
3. ความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health Security)
4. ความมั่นคงด้านสภาพแวดล้อม (Environmental security)
5. ความมั่นคงด้านปัจเจกบุคคล (Personal security)
6. ความมั่นคงด้านชุมชน (Community security)
7. ความมั่นคงด้านการเมือง (Political security)
อ้างอิง : http://en.wikipedia.org/wiki/Human_security
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ปี 2015 เข้าไปแล้ว
กว่า 21 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยยัง "งม" และ "ยึดติด"
กับ "ความมั่นคงทางทหาร" แบบที่ UN ไม่ค่อยพูดถึง
- - - - - - - - - -
ความมั่นคงของคนไทยอยู่ที่ไหน
โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ถามหาความมั่นคงของมนุษย์ ความมั่นคง 5 ใน 7 ด้านของคนไทยยังไม่มั่นคงในยุคปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความมั่นคง ได้เปลี่ยนแปลงจากความมั่นคงทางทหาร เป็นความมั่นคงของมนุษย์ (Human security) ซึ่งเน้นความอยู่ดีกินดีของบุคคล โดยองค์การสหประชาชาติ ได้จำแนกมิติของความมั่นคงของมนุษย์ออกเป็น 7 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ อาหาร สุขภาพ สภาพแวดล้อม ปัจเจกบุคคล ชุมชน และการเมือง
หากถามว่า คนไทยมีความมั่นคงของมนุษย์หรือไม่ ?
เมื่อพิจารณาความมั่นคงของมนุษย์ทั้ง 7 ด้าน
ในสถานการณ์ปัจจุบันของไทย กลับพบว่า
ความมั่นคง 5 ใน 7 ด้าน ยังขาดความสมบูรณ์
1) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือ การมีอาชีพและมีรายได้เพียงพอที่จะเป็นหลักประกันในอนาคต และมีปัจจัยสี่ที่เพียงพอ แต่ในปัจจุบัน คนยากจนยังที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนยังมีอยู่ถึง 9 ล้านคน ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนยากจนและผู้ที่มีรายได้น้อยมีความเสี่ยงต่อการมีรายได้ไม่เพียงพอต่อ การดำรงชีพมากขึ้น
2) ความมั่นคงทางสภาพแวดล้อม คือ การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ ไม่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ มลภาวะ การขาดแคลนน้ำ อากาศบริสุทธิ์ ที่ดินไม่เสื่อมโทรม แต่ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาภัยธรรมชาติ อาทิ ปัญหาภัยแล้งซึ่งกระทบต่อภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ปัญหาที่ดินเสื่อมโทรม โดยมีที่ดินเสื่อมคุณภาพมากกว่า 100 ล้านไร่ จาก 300 กว่าล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 30 ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมลงไปมาก
3) ความมั่นคงของแต่ละปัจเจกบุคคล คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปลอดภัยจากอาชญากรรม ฉกชิงวิ่งราว หรือโจรผู้ร้าย การมีครอบครัวและชุมชนที่มั่นคงพึ่งพาอาศัยกันได้ และแต่ละคนอยู่อย่างสบายใจ แต่ในภาวะสังคมไทยในปัจจุบัน ครอบครัวขาดความเข้มแข็ง และมีการหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้น คนในสังคมมีความเป็นปัจเจกชนสูง ทำให้การพึ่งพาอาศัยกันมีน้อยลง ขณะที่คดีอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น
4) ความมั่นคงในชุมชน คือ การไม่ถูกคุกคามทางวัฒนธรรม จนทำความเป็นตัวตนทางวัฒนธรรมหายไป แต่ ณ ปัจจุบันชุมชนจำนวนมากถูกคุกคามทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะชุมชนไทยมุสลิมที่ถูกคุกคามจากการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เคารพในความเป็นคนไทยมุสลิม มีพฤติกรรมที่ผิดต่อหลักความเชื่อ และพยายามที่จะกลืนทางวัฒนธรรม เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้กว้านซื้อที่ดินและทรัพย์สินของคนไทยพุทธที่ ต้องการโยกย้ายไปสู่ที่อื่น เพราะกลัวจะตกเป็นของชาวไทยมุสลิม รัฐบาลพยายามสถาปนาโซนนิ่งเชื้อชาติไทยและความเหนือกว่าขึ้นมา ทำให้เห็นถึงการแบ่งแยกเชื้อชาติ และไม่ยอมรับในความแตกต่าง
5) ความมั่นคงทางการเมือง คือ การมีสิทธิเสรีภาพในการเขียน การพูด ความคิด ไม่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านนโยบาย กฎหมาย บุคคล หรือถูกเลือกปฏิบัติหากเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยให้อำนาจแก่คนคนเดียวในการตัดสินใจทุกอย่าง ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย และยังจำกัดเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชนในมาตรา 9 (3) ถึงแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ประกาศใช้มาตราดังกล่าว ถึงกระนั้นประชาชนยังคงไม่มั่นใจในสิทธิเสรีภาพของตนเอง ตราบใดที่พระราชกำหนดนี้ยังไม่ถูกยกเลิก หรือถูกนำเข้าไปพิจารณาในสภาฯ
(ในส่วนของข้อ 5 ปัจจุบันร้ายแรงกว่า ที่ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เขียนไว้มากโข เพราะภายใต้ คสช. นี่แม่งละเมิดทุกอย่าง และที่สำคัญไม่มีรัฐธรรมนูญแล้ว / กู เพิ่มเติม)
กล่าวโดยสรุป ความมั่นคงของคนไทยยังมีไม่มากนัก และเสี่ยงต่อการถูกคุกคามความมั่นคงได้ตลอดเวลา นับเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหาความมั่นคงต่าง ๆ เหล่านี้ให้ได้
http://www.kriengsak.com/node/915
- - - - - - - - - -
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายๆ ท่านคงเกิดปัญญาบ้าง
ไม่มากก็น้อย และคงจะเห็นว่า รัฐบาลเผด็จการ คสช.นั้น
บริหารประเทศในรูปแบบใด มีสิ่งใดบ้างที่ทำไม่สำเร็จ
และท่านคงเห็นว่า ตลอดมานั้น คสช. อ้างถึงความมั่นคง
ในความเข้าใจที่ผิดๆ มาตลอด อย่างไม่น่าให้อภัย
- - - - - - - - - -
ถึง คสช.
หากท่านยังแก้ปัญหาความมั่นคงเรื่องอื่นๆ ไม่ได้
ท่านจะไปรักษาความมั่นคงของชาติ ได้อย่างไร
ทหารถูกสอน และฝึกมา ให้มีหน้าที่ปกป้องชาติ
ว่าง่ายๆ ก็คือ สุนัขเฝ้าบ้าน
แต่ท่านกลับลุกมาทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง หวังบริหารประเทศ
จากหมาเฝ้าบ้าน จะลุกมาบริหารบ้าน สุดท้าย 7 เดือนกว่า
ยังไม่มีผลงานอะไรเป็นรูปธรรม
- - - - - - - - - -
ท่านทำแบบนี้เรียกว่า เกินหน้าที่ ไม่รู้หน้าที่
- - - - - - - - - -
เลิกอ้างสถาบันกษัตริย์ได้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งทำให้สถาบันมัวหมอง
และที่สำคัญ เงินเดือนทหาร มาจากภาษีประชาชน
ดังนั้น ทหารคือ ข้ารับใช้ประชาชน ไม่ใช่เจ้านายประชาชน
ถ้าเป็นทหารของใคร ก็ไปรับเงินเดือนจากคนนั้น
อย่าแอบอ้างให้มากนะ มีแต่ไอ้พวกไม่มีศักยภาพเท่านั้น
ต้องอ้างคนอื่น เอาไว้หากิน กับความไม่รู้
- - - - - - - - - -
อย่างไอ้เปรม คนด่าทั้งประเทศ แก่จะตายยังไม่สำนึก
ออกมาพูดสอนคนอื่น ไม่เคยมองเงาสะท้อนของตัวเอง
วันตายของคนเหล่านี้ จะมีแต่คนเฉลิมฉลอง
- - - - - - - - - -
ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาเถิดว่า
ความมั่นคงของชาติ ที่ คสช.เข้าใจ
กับความมั่นคงของชาติ ที่สากลโลกเข้าใจนั้น
มีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร
- - - - - - - - - -
ช่วยกันแชร์ ไปให้เพื่อนทหารของท่าน ได้เกิดปัญญา
ความมั่นคงของชาติ กับความเข้าใจที่ผิดๆ ของกองทัพไทย
#พวกผู้นำเหล่าทัพมึงไปเอาความมั่นใจที่ผิดๆมาจากไหนวะ
การแก้ปัญหาความมั่นคงของชาติ ที่แท้จริง
ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ แต่เพียงอย่างเดียว
เพราะความมั่นคงของชาติ เกี่ยวพันโดยตรงกับประชาชน
ดังนั้น การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
ก็คือการสร้างความมั่นคงของชาติ เพราะชาติ คือ ประชาชน
หากไม่มีประชาชนแล้วไซร้ แผ่นดินมันก็เพียงแค่สิ่งสมมุติขึ้น
ถ้าไม่มีประชาชน ก็ไม่มีชาติ และถ้าประชาชนไม่จ่ายภาษี
ทหารแบบพวกมึงพวกกู จะเอาเงินที่ไหนมาแดกทุกเดือนแบบนี้
สำนึกในบุญคุณประชาชนซะ
สมาชิกเพจท่านหนึ่งบอกว่า ... ไม่แน่ใจ ว่า "กองทัพไทย" อัพเดทหลักสูตร ความเข้าใจเรื่องความมั่นคงหรือยัง เนื่องจาก "โลกปัจจุบัน" ไม่ได้พูดกันเฉพาะ "ความมั่นคงทางทหาร" เพราะวิธีคิดทางทหารนั้น ถูกปรับไปใช้ในทาง "เพื่อสันติ" มากขึ้น
- - - - - - - - - -
ในฐานะที่ "ไทย" เป็นสมาชิกของ สหประชาชาติ (UN - United Nations)
จึงขอนำเสนอให้ กองทัพไทย ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นคงเสียใหม่
ไม่ให้สัมภาษณ์ โชว์โง่ แบบรายวันเหมือน นายประยุทธ์ (ควายตู้)
หรือแม้แต่ นายอุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ที่สัมภาษณ์อย่างกับคนไม่รู้หนังสือ
เอะเอะ ก็พูดแต่ความมั่นคงเพียงเรื่องเดียว โดยไม่มีความรู้เรื่องอื่นๆ
ทั้งที่ ความมั่นคงนั้น มีความหมาย ครอบคลุมหลายด้าน
ทาง UN แบ่งความมั่นคงเป็น 7 ด้าน ดังนี้
UNDP's 1994 definition
(UNDP - United Nations Development Programme)
1. ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ (Economic security)
2. ความมั่นคงด้านอาหาร (Food security)
3. ความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health Security)
4. ความมั่นคงด้านสภาพแวดล้อม (Environmental security)
5. ความมั่นคงด้านปัจเจกบุคคล (Personal security)
6. ความมั่นคงด้านชุมชน (Community security)
7. ความมั่นคงด้านการเมือง (Political security)
อ้างอิง : http://en.wikipedia.org/wiki/Human_security
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ปี 2015 เข้าไปแล้ว
กว่า 21 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยยัง "งม" และ "ยึดติด"
กับ "ความมั่นคงทางทหาร" แบบที่ UN ไม่ค่อยพูดถึง
- - - - - - - - - -
ความมั่นคงของคนไทยอยู่ที่ไหน
โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ถามหาความมั่นคงของมนุษย์ ความมั่นคง 5 ใน 7 ด้านของคนไทยยังไม่มั่นคงในยุคปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความมั่นคง ได้เปลี่ยนแปลงจากความมั่นคงทางทหาร เป็นความมั่นคงของมนุษย์ (Human security) ซึ่งเน้นความอยู่ดีกินดีของบุคคล โดยองค์การสหประชาชาติ ได้จำแนกมิติของความมั่นคงของมนุษย์ออกเป็น 7 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ อาหาร สุขภาพ สภาพแวดล้อม ปัจเจกบุคคล ชุมชน และการเมือง
หากถามว่า คนไทยมีความมั่นคงของมนุษย์หรือไม่ ?
เมื่อพิจารณาความมั่นคงของมนุษย์ทั้ง 7 ด้าน
ในสถานการณ์ปัจจุบันของไทย กลับพบว่า
ความมั่นคง 5 ใน 7 ด้าน ยังขาดความสมบูรณ์
1) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือ การมีอาชีพและมีรายได้เพียงพอที่จะเป็นหลักประกันในอนาคต และมีปัจจัยสี่ที่เพียงพอ แต่ในปัจจุบัน คนยากจนยังที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนยังมีอยู่ถึง 9 ล้านคน ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนยากจนและผู้ที่มีรายได้น้อยมีความเสี่ยงต่อการมีรายได้ไม่เพียงพอต่อ การดำรงชีพมากขึ้น
2) ความมั่นคงทางสภาพแวดล้อม คือ การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ ไม่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ มลภาวะ การขาดแคลนน้ำ อากาศบริสุทธิ์ ที่ดินไม่เสื่อมโทรม แต่ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาภัยธรรมชาติ อาทิ ปัญหาภัยแล้งซึ่งกระทบต่อภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ปัญหาที่ดินเสื่อมโทรม โดยมีที่ดินเสื่อมคุณภาพมากกว่า 100 ล้านไร่ จาก 300 กว่าล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 30 ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมลงไปมาก
3) ความมั่นคงของแต่ละปัจเจกบุคคล คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปลอดภัยจากอาชญากรรม ฉกชิงวิ่งราว หรือโจรผู้ร้าย การมีครอบครัวและชุมชนที่มั่นคงพึ่งพาอาศัยกันได้ และแต่ละคนอยู่อย่างสบายใจ แต่ในภาวะสังคมไทยในปัจจุบัน ครอบครัวขาดความเข้มแข็ง และมีการหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้น คนในสังคมมีความเป็นปัจเจกชนสูง ทำให้การพึ่งพาอาศัยกันมีน้อยลง ขณะที่คดีอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น
4) ความมั่นคงในชุมชน คือ การไม่ถูกคุกคามทางวัฒนธรรม จนทำความเป็นตัวตนทางวัฒนธรรมหายไป แต่ ณ ปัจจุบันชุมชนจำนวนมากถูกคุกคามทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะชุมชนไทยมุสลิมที่ถูกคุกคามจากการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เคารพในความเป็นคนไทยมุสลิม มีพฤติกรรมที่ผิดต่อหลักความเชื่อ และพยายามที่จะกลืนทางวัฒนธรรม เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้กว้านซื้อที่ดินและทรัพย์สินของคนไทยพุทธที่ ต้องการโยกย้ายไปสู่ที่อื่น เพราะกลัวจะตกเป็นของชาวไทยมุสลิม รัฐบาลพยายามสถาปนาโซนนิ่งเชื้อชาติไทยและความเหนือกว่าขึ้นมา ทำให้เห็นถึงการแบ่งแยกเชื้อชาติ และไม่ยอมรับในความแตกต่าง
5) ความมั่นคงทางการเมือง คือ การมีสิทธิเสรีภาพในการเขียน การพูด ความคิด ไม่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านนโยบาย กฎหมาย บุคคล หรือถูกเลือกปฏิบัติหากเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยให้อำนาจแก่คนคนเดียวในการตัดสินใจทุกอย่าง ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย และยังจำกัดเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชนในมาตรา 9 (3) ถึงแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ประกาศใช้มาตราดังกล่าว ถึงกระนั้นประชาชนยังคงไม่มั่นใจในสิทธิเสรีภาพของตนเอง ตราบใดที่พระราชกำหนดนี้ยังไม่ถูกยกเลิก หรือถูกนำเข้าไปพิจารณาในสภาฯ
(ในส่วนของข้อ 5 ปัจจุบันร้ายแรงกว่า ที่ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เขียนไว้มากโข เพราะภายใต้ คสช. นี่แม่งละเมิดทุกอย่าง และที่สำคัญไม่มีรัฐธรรมนูญแล้ว / กู เพิ่มเติม)
กล่าวโดยสรุป ความมั่นคงของคนไทยยังมีไม่มากนัก และเสี่ยงต่อการถูกคุกคามความมั่นคงได้ตลอดเวลา นับเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหาความมั่นคงต่าง ๆ เหล่านี้ให้ได้
http://www.kriengsak.com/node/915
- - - - - - - - - -
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายๆ ท่านคงเกิดปัญญาบ้าง
ไม่มากก็น้อย และคงจะเห็นว่า รัฐบาลเผด็จการ คสช.นั้น
บริหารประเทศในรูปแบบใด มีสิ่งใดบ้างที่ทำไม่สำเร็จ
และท่านคงเห็นว่า ตลอดมานั้น คสช. อ้างถึงความมั่นคง
ในความเข้าใจที่ผิดๆ มาตลอด อย่างไม่น่าให้อภัย
- - - - - - - - - -
ถึง คสช.
หากท่านยังแก้ปัญหาความมั่นคงเรื่องอื่นๆ ไม่ได้
ท่านจะไปรักษาความมั่นคงของชาติ ได้อย่างไร
ทหารถูกสอน และฝึกมา ให้มีหน้าที่ปกป้องชาติ
ว่าง่ายๆ ก็คือ สุนัขเฝ้าบ้าน
แต่ท่านกลับลุกมาทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง หวังบริหารประเทศ
จากหมาเฝ้าบ้าน จะลุกมาบริหารบ้าน สุดท้าย 7 เดือนกว่า
ยังไม่มีผลงานอะไรเป็นรูปธรรม
- - - - - - - - - -
ท่านทำแบบนี้เรียกว่า เกินหน้าที่ ไม่รู้หน้าที่
- - - - - - - - - -
เลิกอ้างสถาบันกษัตริย์ได้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งทำให้สถาบันมัวหมอง
และที่สำคัญ เงินเดือนทหาร มาจากภาษีประชาชน
ดังนั้น ทหารคือ ข้ารับใช้ประชาชน ไม่ใช่เจ้านายประชาชน
ถ้าเป็นทหารของใคร ก็ไปรับเงินเดือนจากคนนั้น
อย่าแอบอ้างให้มากนะ มีแต่ไอ้พวกไม่มีศักยภาพเท่านั้น
ต้องอ้างคนอื่น เอาไว้หากิน กับความไม่รู้
- - - - - - - - - -
อย่างไอ้เปรม คนด่าทั้งประเทศ แก่จะตายยังไม่สำนึก
ออกมาพูดสอนคนอื่น ไม่เคยมองเงาสะท้อนของตัวเอง
วันตายของคนเหล่านี้ จะมีแต่คนเฉลิมฉลอง
- - - - - - - - - -
ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาเถิดว่า
ความมั่นคงของชาติ ที่ คสช.เข้าใจ
กับความมั่นคงของชาติ ที่สากลโลกเข้าใจนั้น
มีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร
- - - - - - - - - -
ช่วยกันแชร์ ไปให้เพื่อนทหารของท่าน ได้เกิดปัญญา
Subscribe to:
Posts (Atom)