ประกาศ!!
มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ..../2557
เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวเพิ่ม เพื่อให้การรักษาความสงบ
และการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้บุคคลมารายงานตัว ณ
หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ในวันที่ .....
เมื่อเห็นราย ชื่อของตัวเองและเพื่อนๆ ที่ถูกเรียกรายงานตัวตามประกาศ ชื่อของเราถูกประกาศเรียกในท่ามกลางกระแสของข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับผู้ถูก เรียกชื่อไปรายงานตัว เช่นเอาตัวไปไว้ที่ไหนไม่รู้ ญาติติดต่อไม่ได้ บางคนไปรายงานตัวเกินกว่า 7 วันแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน บางคนถูกมัดมือเอาผ้าดำคลุมหัว ถูกซ้อมทรมาน ถูกมาจับตัวไปจากบ้าน มีแต่ข่าวลือซึ่งไม่มีใครออกมายืนยันว่าจริงหรือไม่
แต่ในความจริงที่พอจะรู้บ้างมีคนหลายไปรายงานตัวเกิน 7 วันแล้วก็ยังไม่ได้ถูกปล่อยมา กระแสข่าวลือบอกว่าอยู่ค่ายทหารบ้าง ถูกฆ่าตายไปแล้วบ้าง เห็นในข่าวว่าบางคนที่ไปรายงานตัวแค่เซ็นชื่อก็ได้กลับบ้านเลย บางคนไปอยู่ 3-5 วันก็ได้กลับบ้าน บางคนถูกเรียกไปผิดคน
เรื่องราวแบบนี้ที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ไม่มีการยืนยันจากเจ้าตัว มีแต่เล่าปากต่อปากกันมาเท่านั้น ในข่าวยังพบว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ไปรายงานตัว และเริ่มเห็นประกาศออกหมายจับบ้างแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน ทำให้เราเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นว่าเราจะมีรายชื่อออกหมายจับด้วยหรือไม่ หลายคนก็ไปรายงานตัวไม่ตรงกับวันที่ถูกเรียก ซึ่งคิดว่าแต่ละคนคงมีเหตุมีผลหรือได้ข้อมูลต่างๆ ไม่ตรงกันทำให้แต่ละคนก็ใช้วิธีการต่างๆ กันออกไปตามที่แต่ละคนจะคิดได้
ที่ทำให้เราตกใจอีกก็คือมีบางคนถูกดำเนินคดีด้วยข้อหา 112 หลังจากเข้าไปรายงานตัวแล้ว เมื่อฟังข่าวเหล่านี้ก็ทำให้ตัวเองคิดหนักขึ้นว่าควรจะไปรายงานตัวหรือไม่ ทำให้เริ่มคิดถึงแผนการที่จะหนี เพราะคิดไม่ออกว่าเราจะเข้าข่ายความผิดอะไร เพราะการเรียกรายงานตัวแต่ละครั้ง ทำให้เราเดาไม่ถูกว่า คสช. ใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินใจว่าจะเรียกใคร ประกอบกับการออกหมายจับก็เช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าใช้หลักการอะไรมาตัดสินใจในการออกหมายจับ เพราะว่ามีบางคนถูกเรียกรายงานตัวก่อนแต่ยังไม่ออกหมายจับ แต่บางคนถูกเรียกรายงานตัวได้ไม่กี่วันก็ถูกออกหมายจับ ทำให้การตัดสินใจที่จะไปรายงานตัวเริ่มสับสนขึ้นอีก
ข่าวลือหนาหู!!! ว่าการติดต่อผ่านเฟซบุ๊กจะถูกทหารแฮ๊กข้อมูล การติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถูกจะถูกดักฟัง การใช้ไลน์ติดต่อจะถูกเข้าถึงข้อมูล เพื่อนๆในเฟซบุ๊กมีคนเปลี่ยนชื่อจนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร การทักทายกันทางแชทเฟซบุ๊กเริ่มไม่ไว้วางใจกัน เพราะไม่รู้ว่าจะใช่ตัวจริงหรือเปล่า
ในขณะที่บนเฟซบุ๊กก็ถูกกระแสข่าวลือเตือนว่าต้องไม่มีข้อความหรือรูปถ่าย เกี่ยวกับการต้านรัฐประหารเพราะอาจจะถูกยัดข้อหา 112 ได้ มีเรื่องขู่แบบนี้เกิดขึ้น รวมทั้งมีการเตือนว่าอย่าคุยทางแชทด้วยข้อความที่อาจจะนำไปตีความว่าข้อง เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เพราะจะโดนล่อซื้อ คู่สนทนาจะแค๊ปเจอร์ข้อความไปแจ้งตำรวจได้ ในบางคนที่ไปรายงานตัวจะถูกขอรหัสเฟซบุ๊ก
การตัดสินใจที่จะเข้ารายงานตัวถูกเทน้ำหนักมาที่ตัวเองคนเดียว เพราะญาติๆก็บอกแต่ว่าแล้วแต่เราจะตัดสินใจ องค์กรที่เราทำงานอยู่ก็บอกว่าเราต้องประเมินสถานการณ์ด้วยตัวเอง การตัดสินใจตอนนั้นยากมาก เพราะสิ่งที่เรากลัวและกังวลคือเมื่อไปรายงานตัวแล้วอาจจะโดนยัดข้อหา 112 ด้วย เพราะว่าเมื่อคุณโดนมาตรา 112 คุณจะไม่ได้ประกันตัว
จึงติดต่อเพื่อนสนิทคนหนึ่งเพื่อขอข้อมูล เขาถูกทหารนำตัวไปก่อนที่จะประกาศเรียกรายงานตัว เขาให้ข้อมูลว่าตัวเขาถูกจำคุกทหาร 7 วัน และปล่อยตัวออกมา ไม่มีคดีอะไรเพิ่ม แต่ให้ทำเป็นข้อตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองและออกนอกประเทศ
การขอข้อมูลจากคนที่ไปรายงานตัวเพื่อประเมินว่าตัวเองจะไปรายงานตัว ได้รับความร่วมมือน้อยมาก ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะพูดถึงมันอีก
เมื่อติดตามจากสื่อก็เห็นว่าแกนนำเสื้อแดงบางคนออกมาพูดว่า ได้รับการดูแลอย่างดี อยู่บ้านรับรอง นอนห้องแอร์ ซึ่งทำให้เห็นว่าข้อมูลที่เราได้มาจากแต่ละคนมีความต่างกัน ในขณะที่แกนนำและคนของฝ่าย กปปส. นั้นยิ่งได้รับการดูแลที่ดีมากและส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่ครบ 7 วันด้วยซ้ำ ซึ่งเห็นแนวทางในการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สุด
มาที่ตัวเราเองว่าเราจะโดนทหารจะปฏิบัติแบบไหนกับเรา แบบดี แบบไม่ดี มีคดีติดท้ายหรือเปล่า ทำให้เกิดความลังเลใจว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่ เริ่มหาข้อมูลในด้านอื่นๆ ว่าถ้าไม่ไปรายงานตัวจะทำอย่างไร ลองหาข้อมูลในเรื่องของการขอลี้ภัยดูซิว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มจากการหาข้อมูลในอินเตอร์เนตเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย สอบถามหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ ได้รับข้อมูลมากพอสมควรจนเห็นแนวทางการลี้ภัยได้เลย ถ้าเราดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เราก็สามารถลี้ภัยได้ในช่วงจังหวะและเวลานี้ที่เรามีคำประกาศเรียกรายงานตัว และมีหมายจับ
เมื่อเราคิดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้อ่านหนังสือ ได้ฟังเรื่องราวของผู้คนที่ลี้ภัย การหลบหนีของคนมาหลายยุคสมัย ทำให้เราเห็นว่าที่สุดแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้เท่าใจปรารถนา เพราะการไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้เราไม่สามารถคิดหรือทำในสิ่งที่ต้อง การได้ เราต้องเลี้ยงชีพตัวเองให้รอดก่อน
ตัดสินใจเด็ดขาด!! คิดถึงเพื่อนๆของเราอีกมากมายที่ถูกเรียกรายงานตัวพวกเขาก็กลับมาใช้ชีวิต ปกติได้ แต่อาจจะไม่ปกติเท่าไหร่เพราะว่าพวกเขามีเงื่อนไขบางอย่าง ที่แต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ซึ่งดูพวกเขาอึดอัดไม่น้อยแต่พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ประเทศไทยต่อไป เมื่อนึกถึงทุกๆ คนที่อยู่เคียงข้างกันมา พวกเขายังเลือกที่จะอยู่แล้วเราทำไมจะอยู่ไม่ได้ องค์ประกอบสำคัญหลักในการตัดสินใจที่จะเข้ารายงานตัว
คือ ไม่อยากหนีไปไหน เพราะต้องใช้เวลานานที่จะได้กลับมาที่ประเทศไทย ในระหว่างหลบหนีนั้นทำให้เราไม่สามารถทำงานการเมืองหรือรวมกลุ่มกับประชาชน ได้ ทำให้เราถูกกันออกไปจากสังคมที่แท้จริง การไม่ได้อยู่กับสถานการณ์จริงๆทำให้การเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงยากและเราก็ ล้วนอยู่กับข่าวลือและเรื่องราวที่ตรวจสอบไม่ได้
ส่วนตัวเชื่อว่าการจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต้องเริ่มจากคนที่อยู่ในประเทศ คนที่อยู่นอกประเทศเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งไม่ใช่ปัจจัยหลัก
ความฝันที่จะเข้าสู่การเมืองในรัฐสภา มีพรรคการเมืองที่คนจนเป็นเจ้าของ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมผ่านกลไกรัฐสภายังเป็นทางออกที่ดี แต่ถ้าเราไปจากที่นี่ไปจากประเทศนี้ซะก่อน สิ่งเหล่านี้เราจะไม่ได้ทำ
เราจึงไปจากประเทศของเราไม่ได้!!
วันสุดท้ายของการตัดสินใจเราจึงเดินทางไปเข้าสู่กระบวนการรายงานตัว เรายังอยู่ด้วยกันต่อไปเพื่อนผู้รักประชาธิปไตย เราประกาศว่า “กูไม่กลัวมึง!” พร้อมชูกำปั้นขึ้น
- แอนน์ แฟรงค์
เมื่อเห็นราย ชื่อของตัวเองและเพื่อนๆ ที่ถูกเรียกรายงานตัวตามประกาศ ชื่อของเราถูกประกาศเรียกในท่ามกลางกระแสของข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับผู้ถูก เรียกชื่อไปรายงานตัว เช่นเอาตัวไปไว้ที่ไหนไม่รู้ ญาติติดต่อไม่ได้ บางคนไปรายงานตัวเกินกว่า 7 วันแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน บางคนถูกมัดมือเอาผ้าดำคลุมหัว ถูกซ้อมทรมาน ถูกมาจับตัวไปจากบ้าน มีแต่ข่าวลือซึ่งไม่มีใครออกมายืนยันว่าจริงหรือไม่
แต่ในความจริงที่พอจะรู้บ้างมีคนหลายไปรายงานตัวเกิน 7 วันแล้วก็ยังไม่ได้ถูกปล่อยมา กระแสข่าวลือบอกว่าอยู่ค่ายทหารบ้าง ถูกฆ่าตายไปแล้วบ้าง เห็นในข่าวว่าบางคนที่ไปรายงานตัวแค่เซ็นชื่อก็ได้กลับบ้านเลย บางคนไปอยู่ 3-5 วันก็ได้กลับบ้าน บางคนถูกเรียกไปผิดคน
เรื่องราวแบบนี้ที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ไม่มีการยืนยันจากเจ้าตัว มีแต่เล่าปากต่อปากกันมาเท่านั้น ในข่าวยังพบว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ไปรายงานตัว และเริ่มเห็นประกาศออกหมายจับบ้างแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน ทำให้เราเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นว่าเราจะมีรายชื่อออกหมายจับด้วยหรือไม่ หลายคนก็ไปรายงานตัวไม่ตรงกับวันที่ถูกเรียก ซึ่งคิดว่าแต่ละคนคงมีเหตุมีผลหรือได้ข้อมูลต่างๆ ไม่ตรงกันทำให้แต่ละคนก็ใช้วิธีการต่างๆ กันออกไปตามที่แต่ละคนจะคิดได้
ที่ทำให้เราตกใจอีกก็คือมีบางคนถูกดำเนินคดีด้วยข้อหา 112 หลังจากเข้าไปรายงานตัวแล้ว เมื่อฟังข่าวเหล่านี้ก็ทำให้ตัวเองคิดหนักขึ้นว่าควรจะไปรายงานตัวหรือไม่ ทำให้เริ่มคิดถึงแผนการที่จะหนี เพราะคิดไม่ออกว่าเราจะเข้าข่ายความผิดอะไร เพราะการเรียกรายงานตัวแต่ละครั้ง ทำให้เราเดาไม่ถูกว่า คสช. ใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินใจว่าจะเรียกใคร ประกอบกับการออกหมายจับก็เช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าใช้หลักการอะไรมาตัดสินใจในการออกหมายจับ เพราะว่ามีบางคนถูกเรียกรายงานตัวก่อนแต่ยังไม่ออกหมายจับ แต่บางคนถูกเรียกรายงานตัวได้ไม่กี่วันก็ถูกออกหมายจับ ทำให้การตัดสินใจที่จะไปรายงานตัวเริ่มสับสนขึ้นอีก
ข่าวลือหนาหู!!! ว่าการติดต่อผ่านเฟซบุ๊กจะถูกทหารแฮ๊กข้อมูล การติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถูกจะถูกดักฟัง การใช้ไลน์ติดต่อจะถูกเข้าถึงข้อมูล เพื่อนๆในเฟซบุ๊กมีคนเปลี่ยนชื่อจนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร การทักทายกันทางแชทเฟซบุ๊กเริ่มไม่ไว้วางใจกัน เพราะไม่รู้ว่าจะใช่ตัวจริงหรือเปล่า
ในขณะที่บนเฟซบุ๊กก็ถูกกระแสข่าวลือเตือนว่าต้องไม่มีข้อความหรือรูปถ่าย เกี่ยวกับการต้านรัฐประหารเพราะอาจจะถูกยัดข้อหา 112 ได้ มีเรื่องขู่แบบนี้เกิดขึ้น รวมทั้งมีการเตือนว่าอย่าคุยทางแชทด้วยข้อความที่อาจจะนำไปตีความว่าข้อง เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เพราะจะโดนล่อซื้อ คู่สนทนาจะแค๊ปเจอร์ข้อความไปแจ้งตำรวจได้ ในบางคนที่ไปรายงานตัวจะถูกขอรหัสเฟซบุ๊ก
การตัดสินใจที่จะเข้ารายงานตัวถูกเทน้ำหนักมาที่ตัวเองคนเดียว เพราะญาติๆก็บอกแต่ว่าแล้วแต่เราจะตัดสินใจ องค์กรที่เราทำงานอยู่ก็บอกว่าเราต้องประเมินสถานการณ์ด้วยตัวเอง การตัดสินใจตอนนั้นยากมาก เพราะสิ่งที่เรากลัวและกังวลคือเมื่อไปรายงานตัวแล้วอาจจะโดนยัดข้อหา 112 ด้วย เพราะว่าเมื่อคุณโดนมาตรา 112 คุณจะไม่ได้ประกันตัว
จึงติดต่อเพื่อนสนิทคนหนึ่งเพื่อขอข้อมูล เขาถูกทหารนำตัวไปก่อนที่จะประกาศเรียกรายงานตัว เขาให้ข้อมูลว่าตัวเขาถูกจำคุกทหาร 7 วัน และปล่อยตัวออกมา ไม่มีคดีอะไรเพิ่ม แต่ให้ทำเป็นข้อตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองและออกนอกประเทศ
การขอข้อมูลจากคนที่ไปรายงานตัวเพื่อประเมินว่าตัวเองจะไปรายงานตัว ได้รับความร่วมมือน้อยมาก ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะพูดถึงมันอีก
เมื่อติดตามจากสื่อก็เห็นว่าแกนนำเสื้อแดงบางคนออกมาพูดว่า ได้รับการดูแลอย่างดี อยู่บ้านรับรอง นอนห้องแอร์ ซึ่งทำให้เห็นว่าข้อมูลที่เราได้มาจากแต่ละคนมีความต่างกัน ในขณะที่แกนนำและคนของฝ่าย กปปส. นั้นยิ่งได้รับการดูแลที่ดีมากและส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่ครบ 7 วันด้วยซ้ำ ซึ่งเห็นแนวทางในการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สุด
มาที่ตัวเราเองว่าเราจะโดนทหารจะปฏิบัติแบบไหนกับเรา แบบดี แบบไม่ดี มีคดีติดท้ายหรือเปล่า ทำให้เกิดความลังเลใจว่าจะไปรายงานตัวหรือไม่ เริ่มหาข้อมูลในด้านอื่นๆ ว่าถ้าไม่ไปรายงานตัวจะทำอย่างไร ลองหาข้อมูลในเรื่องของการขอลี้ภัยดูซิว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มจากการหาข้อมูลในอินเตอร์เนตเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย สอบถามหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ ได้รับข้อมูลมากพอสมควรจนเห็นแนวทางการลี้ภัยได้เลย ถ้าเราดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เราก็สามารถลี้ภัยได้ในช่วงจังหวะและเวลานี้ที่เรามีคำประกาศเรียกรายงานตัว และมีหมายจับ
เมื่อเราคิดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้อ่านหนังสือ ได้ฟังเรื่องราวของผู้คนที่ลี้ภัย การหลบหนีของคนมาหลายยุคสมัย ทำให้เราเห็นว่าที่สุดแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้เท่าใจปรารถนา เพราะการไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้เราไม่สามารถคิดหรือทำในสิ่งที่ต้อง การได้ เราต้องเลี้ยงชีพตัวเองให้รอดก่อน
ตัดสินใจเด็ดขาด!! คิดถึงเพื่อนๆของเราอีกมากมายที่ถูกเรียกรายงานตัวพวกเขาก็กลับมาใช้ชีวิต ปกติได้ แต่อาจจะไม่ปกติเท่าไหร่เพราะว่าพวกเขามีเงื่อนไขบางอย่าง ที่แต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ซึ่งดูพวกเขาอึดอัดไม่น้อยแต่พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ประเทศไทยต่อไป เมื่อนึกถึงทุกๆ คนที่อยู่เคียงข้างกันมา พวกเขายังเลือกที่จะอยู่แล้วเราทำไมจะอยู่ไม่ได้ องค์ประกอบสำคัญหลักในการตัดสินใจที่จะเข้ารายงานตัว
คือ ไม่อยากหนีไปไหน เพราะต้องใช้เวลานานที่จะได้กลับมาที่ประเทศไทย ในระหว่างหลบหนีนั้นทำให้เราไม่สามารถทำงานการเมืองหรือรวมกลุ่มกับประชาชน ได้ ทำให้เราถูกกันออกไปจากสังคมที่แท้จริง การไม่ได้อยู่กับสถานการณ์จริงๆทำให้การเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงยากและเราก็ ล้วนอยู่กับข่าวลือและเรื่องราวที่ตรวจสอบไม่ได้
ส่วนตัวเชื่อว่าการจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต้องเริ่มจากคนที่อยู่ในประเทศ คนที่อยู่นอกประเทศเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งไม่ใช่ปัจจัยหลัก
ความฝันที่จะเข้าสู่การเมืองในรัฐสภา มีพรรคการเมืองที่คนจนเป็นเจ้าของ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมผ่านกลไกรัฐสภายังเป็นทางออกที่ดี แต่ถ้าเราไปจากที่นี่ไปจากประเทศนี้ซะก่อน สิ่งเหล่านี้เราจะไม่ได้ทำ
เราจึงไปจากประเทศของเราไม่ได้!!
วันสุดท้ายของการตัดสินใจเราจึงเดินทางไปเข้าสู่กระบวนการรายงานตัว เรายังอยู่ด้วยกันต่อไปเพื่อนผู้รักประชาธิปไตย เราประกาศว่า “กูไม่กลัวมึง!” พร้อมชูกำปั้นขึ้น
- แอนน์ แฟรงค์
No comments:
Post a Comment