Sunday, December 7, 2014

เมื่อบิ๊กบราเธอร์มองคุณอยู๋ ??? แอนน์ แฟรงค์ : ตอน 6


ข่าวลือหนาหูตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร คุยวงใน วงนอก กันมาสนุกปากว่า ทหารได้จัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วทีมละ 4 คน มีประมาณ 1,000 ทีม พร้อมจะเข้าจู่โจมบุคคลสำคัญเพื่ออุ้มได้ทันทีเมื่อมีรัฐประหาร เพื่อบล็อคการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร

หลังรัฐประหารไม่มีการจู่โจมเพื่ออุ้มบุคคลสำคัญตามข่าวลือ มีแต่ประกาศเรียกรายงานตัวกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นชุดๆ เป็นคณะ แต่ในระหว่างนั้นก็มีข่าววงในว่า ใครไม่มีรายชื่ออาจจะมีคำสั่งอุ้มหาย จับตาย และข่าวทีมจู่โจมก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้หลายคนกังวลว่าการมีรายชื่อกับไม่มีมันเริ่มจะไม่ต่างกันซะแล้ว เผลอๆ การประกาศเรียกยังดีเสียกว่าเพราะเข้ากลไกระบบกฎอัยการศึกคือควบคุมตัวได้ไม่เกิน 7 วัน และยังมีการจับตามองจากเครือข่ายนักสิทธิมนุษยชนจากต่างประเทศ มีคนรู้เห็นว่าเราเข้าไปค่ายทหาร หรือถ้าเรารู้ตัวว่าจะโดนคดีร้ายแรง ยังตัดสินใจหนีได้ แต่การรอลุ้นประกาศเรียกรายงานตัวก็ยังทำให้คนไม่สบายใจ บางคนตัดสินใจหนีก่อนดีกว่าที่จะเรียกรายงานตัวหรือมาอุ้มหาย เพราะเอาเข้าจริงการป้องกันตัวของประชาชนภายใต้กฎอัยการศึกไม่มีเลย

การส่งต่อข้อความทางไลน์ หรือทางเฟซบุ๊กว่าคุณอยู่ในกลุ่มอุ้มหาย จับตาย, ไม่มีรายชื่อเรียกรายงานตัว, คสช. เตรียมประกาศเรียกหลายพันคน, มีเตรียมจับคดี 112 อีกหลายพันคน เมื่อได้ยินแบบนี้ ทำให้หลายคนตัดสินใจไปตั้งหลักที่ประเทศเพื่อนบ้านทันที มีการแถลงข่าวจากฝ่าย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม คสช.
ขณะนี้ไม่มีใครอยู่ในความควบคุมของ คสช.แล้ว และตนคิดว่าไม่น่าจะมีเรียกบุคคลมารายงานตัวเพิ่มเติมแล้ว แต่หากมีเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาก็อาจจะเรียกบุคคลเข้ามารายงานตัวได้ ส่วนบุคคลที่ยังไม่ได้มารายงานตัวนั้น เป็นเรื่องขั้นตอนกฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับ คสช. ที่บุคคลผู้นั้นขัดคำสั่ง และอยู่ในดุลพินิจของศาลว่าจะให้ประกันหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาศาลมีความเมตตา มีการแถลงข่าวแบบนี้ทำให้คนในประเทศรู้สึกคลายกังวลไปได้บ้าง เหมือนเป็นสัญญาณว่า การดำเนินคดีมันมากพอแล้ว เพราะการเรียกไปรายงานตัวแล้วมีคนถูกดำเนินคดีต่อมา ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องอาวุธกับเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และยังมีข่าวเกี่ยวกับการซ้อมทรมานให้รับสารภาพอีกหลายคน

แต่แทนที่เมื่อยุติการเรียกรายงานตัว จะทำให้คนคลายกังวลได้บ้างนั้น ในเวลาเร็วๆนั้นเอง กลับมีข่าวซึ่งยืนยันได้ว่า มีคนถูกทหารไปเชิญตัวที่บ้าน ใช้สิทธิตามประกาศกฎอัยการศึก ควบคุมตัว 7 วันในค่ายทหาร แต่ไม่มีประกาศเรียกชื่อรายงานตัว ซึ่งแต่ละคนที่ถูกทหารมาเชิญตัวกลายเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย แกนนำในชุมชน แกนนำในต่างจังหวัด ที่ไม่มีใครรู้จักในวงกว้าง เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมคนเสื้อแดง มีบางคนถูกเชิญตัวไปตอนเช้าและเย็นก็กลับ บางคนถูกเชิญตัวไปหลายวัน รวมถึงทหารไปหาที่บ้าน ค้นบ้าน และไม่เชิญตัว แต่สร้างแรงกดดันมากขึ้นสำหรับแกนนำระดับชุมชนในต่างจังหวัด เพราะไมรู้สถานการณ์ล่วงหน้าและบางคนถูกอ้างเรื่องการเข้าค้นหายาเสพติด มีข่าวว่ามีคนฆ่าตัวตายจากกรณีเหล่านี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การไม่ประกาศเรียกตัว และข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการเชิญไปรายงานตัวโดยมีทหารมารับถึงบ้าน ก็ทำให้เกิดการตรวจสอบยาก เพราะไม่มีหน่วยงานที่รับเรื่องช่วยเหลือโดยตรง จนเมื่อถูกแจ้งจับดำเนินคดีอาญานั่นแหละถึงได้มีเรื่องถึงองค์กรทนายความ จึงทำให้ทราบว่ามีการเรียกรายงานตัวจริงๆ หลังมีข่าวว่าจะยุติแล้ว ส่วนคนที่ไม่ถูกดำเนินคดี เมื่อกลับมาก็เลือกที่จะยุติบทบาทอื่นทั้งหมดและไม่ให้ข่าวกับใครเลย การสร้างแรงกดดันมากขึ้นกับประชาชนฝ่ายเสื้อแดง ทหารสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนได้มากขึ้นและเป็นไปอย่างเงียบๆ องค์กรต่างประเทศ องค์กรที่ทำเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่สามารถเข้าถึงบุคคลที่ถูกละเมิดได้อีกเลย

ทหารยังคงใช้การคุกคามแบบนี้อย่างต่อเนื่อง มีการให้ข่าวจากหัวหน้า คสช. มาเป็นระยะว่าไม่สามารถยกเลิกกฎอัยการศึกได้ เพราะมีคลื่นใต้น้ำ การเข้าค้นบ้านที่สงสัยว่าจะทำผิดเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด บ่อนเถื่อน สถานบันเทิง การจัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้ บ้านผู้อิทธิพลต่างๆ แต่การเข้ามาของทหารไม่ได้ทำให้ทุกอย่างหายไป มันยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนมือการเข้าดูแลจากตำรวจมาเป็นทหาร หรือเรียกว่า “การเปลี่ยนที่ส่งส่วย”
สังคมที่อยู่กับข่าวลือ ตรวจสอบไม่ได้ คนที่ได้รับผลกระทบไม่กล้าเผชิญหน้าเมื่อถูกกระทำ เพราะประชาชนไร้องค์กรที่จะดูแล ความหวังที่จะให้นักการเมืองช่วยเหลือต้องจบลงไปเพราะไม่มีใครออกรับหน้าแทนประชาชน แต่ละคนเผชิญชะตากรรมต่างกันออกไป กระแสข่าวลือทำงานของมันต่อไป ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามันเป็นจริงซะเป็นส่วนใหญ่

แต่ใครเล่าที่จะมายืนยันว่าโดนกระทำอะไร?คนที่ถูกเรียกรายงานตัวยังมีหลักฐานว่าถูกเรียกจริง แต่คนที่ไปถูกเชิญที่บ้านอะไรเล่าที่เป็นหลักฐาน? นอกจากบาดแผลในจิตใจที่ได้รับ และจะปรากฏความจริงได้ก็มีคดีอาญาห้อยท้ายหลังจากถูกซ้อมทรมานจนต้องยอมรับสารภาพเพื่อรักษาชีวิตหรือไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดของร่างกายได้ หรือไม่ต้องการให้เพื่อนพวกพ้องต้องชะตาเดียวกัน รับไปคนเดียวจะดีกว่า

จนถึงวันนี้ การคุกคามสิทธิมนุษยชนของทหารยังไม่หมดไป การจับตามองของทหารไปยังคนที่เคยถูกเรียกรายงานตัว ความเชื่อเรื่องการวางแผนเรียกรายงานตัวหลายพันคนตามรายชื่อที่ทหารมีอยู่ในมือ คนเหล่านั้นยังถูกสปอตไลท์ของทหารส่องอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นมีอะไรผิดปกติ ถ้าผิดไปจากที่เขาต้องการให้พวกคุณเป็น ก็จะถูกทหารเข้าไปพบ เอาตัวไปตามขั้นตอนที่วางแผนไว้

ชีวิตของประชาชนคนไทยในสถานการณ์ทุกวันนี้เราไม่ต่างกับ ในโอชันเนียใน นิยาย“1984” โดยจอร์จ ออร์เวลล์ เป็นรัฐที่มีบิ๊กบราเธอร์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และกำหนดพฤติกรรม ความคิด ความเชื่อให้ประชาชนทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใครคิดต่างจากรัฐ ก็คือศัตรูของรัฐ ในโอชันเนียจึงพยายามใช้อำนาจแห่งบิ๊ก บราเธอร์ในการควบคุมมวลชนทั้งหมดให้มีความคิดภายใต้ประวัติศาสตร์ชุดเดียวกับผู้มีอำนาจสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งนั่นคือ การใช้ “อำนาจเบ็ดเสร็จ” ในการทำลายปัจเจกชนนิยมของประชาชนลง เพราะรัฐไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดปัจเจกภาพ แต่ต้องการให้เกิดอำนาจรวมศูนย์ ซึ่งมีบิ๊กบราเธอร์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว!!!

ร่วมมือร่วมใจกัน อย่ายอมให้อำนาจของ “บิ๊กบราเธอร์ “ เหนือกว่าประชาชน

- แอนน์ แฟรงก์

No comments:

Post a Comment