Sunday, December 7, 2014

เช้าวันใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม บุปผาช่อผกา : ตอนพิเศษบันทึกการต่อสู็


…..........เช้าวันใหม่ ในบรรยากาศเก่าๆ เดิมๆ ก็ปรากฏ

หลังลืมตาตื่นขึ้นจากการพักผ่อน ทุกวันนี้ผมนอนเพียงวันละ 3-5 ชั่วโมงแค่นั้น มันอาจจะดูเหมือนน้อยนิด แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันมากพอ เพราะในช่วงหนึ่งวันของผมต่างต้องมีภารกิจที่ต้องสะสางมากมาย ทั้งเรื่องเล็กสุดๆ คือเรื่องส่วนตัว จนถึงเรื่องใหญ่สุดคือเรื่องบ้านเมือง

...........บางครั้งเราก็หันกลับมามองดูเพื่อนๆ นักกิจกรรม นักศึกษา รอบตัวเราเอง พร้อมกับคำถามในหัวของเราที่มักไม่มีคำตอบ
คำถามที่ว่า “ เราทำอะไรอยู่ และทำไมต้องทำ ”
ใครจะเชื่อว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ผลประโยชน์แม้สตางค์แดงเดียวก็ไม่เคยได้รับจากใครทั้งนั้น มันยิ่งคิดมันยิ่งรู้สึกว่าเราแตกต่างจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือสิ่งที่หล่อหลอมเรามามันมีจุดเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่พิเศษพิสดารกว่าใครเขาอย่างนั้นหรือ ?

……….แต่จะว่าไปแล้วผมก็หาใช่เป็นเพียงผู้เดียวที่ยังยืนหยัดทัดทานอำนาจของรัฐบาลทหารอยู่ในเวลานี้ ผมยังมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกมากมายที่พร้อมจะเดินเคียงข้างไปพร้อมๆกัน บางครั้งก็คิดสงสัยว่าพวกเขาเหล่านั้น จะมีคำถามในแบบเดียวกับที่เราถามตัวเองหรือไม่นะ เพราะบางคนมาจากพื้นฐานครอบครัวที่มีฐานะมั่นคง ร่ำรวย มีธุรกิจมากมาย หากเขาจะเลือกนอนอยู่บ้านเฉยๆโดยไม่ต้องดิ้นรนก็มีอยู่มีกิน แต่ไฉนจึงหันเหชีวิตมายืนอยู่บนจุดเสี่ยงเพื่อต่อกรกับอำนาจรัฐ และไขว่คว้าหาความเสมอภาค เสรีภาพ อันเป็นอุดมคติให้คนยาก คนจนเช่นเดียวกับหลายๆ คนอยู่นี่

แน่นอนว่าบางครั้งผมเองก็รู้สึกน้อยใจบ้าง หากมองไปรอบๆ เห็นหลายคนพร้อมจะอยู่ภายใต้การปกครองเช่นไรก็ได้ ขอแค่ตัวเองใช้ชีวิตได้ตามปกติดังที่เคยอยู่มา ไม่คิดจะหวังให้คุณภาพชีวิต และสังคมเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้
แต่ที่ผมน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้น ก็เห็นจะเป็นขบวนการ นิสิต นักศึกษา ที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังท้ายๆ อันจะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยเฉกเช่นในอดีตได้ ก็ใกล้หมดหวังเสียแล้ว หลายกลุ่มที่เคยร่วมกิจกรรมกัน ก็ค่อยๆสยบยอมต่ออำนาจ เกรงกลัวต่อคำสั่งที่ไม่ชอบของคณะรัฐบาลทหารไปเสียทุกอย่าง ขาดความกล้าหาญเพียงเรื่องน้อยนิดอย่างการตั้งคำถามกับผู้ปกครองก็หาได้ใช้สามัญสำนึกไม่ มันจึงเป็นจุดอ่อนที่ฝ่ายรัฐบาลทหารกระทำการอย่างไรก็ได้กับประเทศที่มีพลเมืองอ่อนแอ ขี้แพ้ และขี้กลัวเช่นนี้

การกล่าวเบื้องต้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องกล้าหาญชาญชัยหยิบจับ เอาอาวุธเข้าประจัญบานกับทหารแต่อย่างใด แต่ความในใจต้องการเพียงแสดงจุดยืนที่หนักแน่นมั่นคง ว่าเราจะไม่ยอมรับการมีอยู่ของ คสช. รวมถึงองคาพยพที่แต่งตั้งโดยคำสั่งของ คสช ด้วย แต่ถ้าหากเห็นว่าที่กล่าวมานั้นมันหนักหน่วงเกินไปที่จะปฏิบัติได้ ผมก็ขอแค่เพียงให้พวกเขาอยู่เป็นกำลังเสริมพลังกาย พลังใจ พลังปัญญา ช่วยสนับสนุน เสมือนเป็นแนวหลังให้กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย ที่ต่างเอาชีวิต และอนาคต วางเดิมพันอยู่ในเวลานี้ก็เท่านั้นเอง เพราะสุดท้ายแล้วผลประโยชน์ที่เรามุ่งหวัง มันก็เป็นผลประโยชน์ที่จะตกทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราด้วยกันทั้งนั้น

.........ในอีกบางมุมเมื่อขยายเข้ามาดูอย่างจริงๆจังๆ ในแต่ละกลุ่มที่มีบทบาทขับเคลื่อนการต่อสู้อยู่ในเวลานี้ก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ผมขออธิบายความถึงเพียงขบวนการ นิสิต นักศึกษา และคนรุ่นใหม่นะครับ จากการคลุกคลี ผมรู้สึกว่าการเติบโตมักจะหยุดลงทุกครั้งเมื่อมีปัญหาอคติส่วนตัวเกิดขึ้น มันบ่งบอกถึงปัญหาภายในจิตใจลึกๆ ของหัวขบวนในกลุ่มคนเหล่านี้ ความไม่ไว้วางใจก็เป็นส่วนหนึ่ง การยึดติดภาพของกลุ่ม ของฝูงก็เป็นส่วนหนึ่ง จนทำให้ภาพการขับเคลื่อนสะเปะสะปะ ไม่เป็นขบวน การยึดมั่นถือมั่น หรือที่เราเรียกว่าอัตตาในหลายๆ คนยังคงมีอยู่ และพวกเขายังพยายามสร้างวัฒนธรรมกลุ่มของพวกเขาให้เกิดขึ้น ซึ่งจุดนี้ยิ่งตอกย้ำการจำแนกแยกแยะกลุ่มฉันกลุ่มเธอมากขึ้นไปอีก

ในด้านยุทธศาสตร์เอง พวกเขาก็ไม่ได้มีการคำนึงถึงในระยะยาว มันจึงกลายเป็นการซ้อนทับความแหลกเหลวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยเสรี ของคนรุ่นใหม่ทำให้ยากต่อการร่วมมือร่วมแรงให้เหนียวแน่น เพื่อร่วมกันต่อกรกับศัตรูที่สร้างเครือข่ายโยงใยไว้แข็งแกร่ง มาบดขยี้ไอ้พวก ปีกกล้า ขาแข็งเช่นเราๆ ท่านๆ นี้ละ ดังมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “คนที่จะทำลายพวกหัวก้าวหน้าหาใช่ศัตรูไม่ แต่คือพวกเขาเองนั้นแหละที่จะทำลายกันเอง”

……….สิ่งที่ผมทำได้ในเวลานี้ก็คือ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเราเหนื่อย เราท้อ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราหันมองดูเพื่อนเรา หรือแม้แต่คนที่เรารู้จักเขาต้องสูญเสียอิสรภาพจนถึงต้องสูญเสียชีวิต มันยิ่งทำให้เรารู้ว่าเราถอยไม่ได้ เพราะแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้วัยรุ่นอย่างเราต้องตื่นขึ้นมาในเวลานี้ ก็เนื่องจากความเลวร้ายบังเกิดขึ้นกับคนรอบตัวเรามากขึ้น ทุกวันๆ และทราบว่าหลายคนก็ตื่นขึ้นจากเหตุผลไม่ต่างกัน ดังนั้น จุดนี้จะเป็นจุดที่ผมคิดว่าจะแยกคนสองกลุ่มได้อย่างชัดเจน ว่าเวลานี้ใครสู้เพื่อหวังการเปลี่ยนแปลงตามอุดมคติ หรือใครสู้เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างจากกระแสของสถานการณ์ที่เอื้อต่อการแสวงหาประโยชน์เข้าตนเช่นนี้

…… ท้ายที่สุด ผมดีใจที่ยังมีหลายๆคนเคียงข้างกันไป แม้นจะเหนื่อยบ้าง พักบ้าง หรือขัดแย้งกันบ้างแต่ก็ขอให้มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ผมก็พอใจแล้ว ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะรู้ว่าคนเราไม่สามารถให้ใครคิดเหมือนเราได้ ทำเหมือนเราได้ เพราะเขาอาจจะมีเหตุผลของเขาที่ดีกว่าเราก็ย่อมเป็นได้ ความหวังของผมจึงอยู่ที่คนรุ่นใหม่ๆ ที่จะเติบโตขึ้นมาภายใต้ความพร้อม และบทเรียนจากคนรุ่นผมที่เกิดจากความผิดพลาดมากมายจนดูเหมือนไม่สามารถเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากพอ ไม่สมดั่งที่ประชาชนฝากความหวัง

หากผมต้องแลกมากับการต้องใช้สรรพกำลังทุกอย่างที่มีถากถางทางเพื่อส่งมอบภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับไม้ต่อเพื่อสานฝันของประชาชนต่อไป ผมก็จะทำ

- บุปผาช่อเก่า
 

No comments:

Post a Comment