Sunday, December 7, 2014

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น นักกฏหมายก็นั่งลง บุเรงนอง : ตอน 8


ผมเคยอ่านหนังสือของอาจารย์กฎหมายท่านหนึ่ง (ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร) มีอยู่ตอนหนึ่งในหนังสือ เขียนในทำนองว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น นักกฎหมายก็นั่งลง” ซึ่งอาจจะแปลความหมายว่า เมื่อมีการรัฐประหารยึดอำนาจ ในห้วงเวลานั้นเป็นห้วงเวลาที่นักกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ การใช้กฎหมายจึงต้องพักไว้ก่อน

เรื่องนี้ในความเห็นของผม ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องทั้งหมด

ผมยอมรับว่า การรัฐประหารโดยเผด็จการทหารนั้น เป็นการทำให้ไม่ว่ากฎหมายใดก็ไร้ความหมาย เพราะในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาของการใช้กำลังประหนึ่งการแข่งขันกันเป็นใหญ่ของบรรดาสัตว์ในป่า ที่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จะได้เป็นราชา แน่นอนว่ากฎหมายย่อมไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเทียบกับอาวุธปืนที่สามารถสังหารผู้ที่กล้าท้าทาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เพราะคงไม่มีใครกล้ามาท้าทายเหล่าเผด็จการทหาร เมื่อไม่มีใครกล้าจะนำกฎหมายไปเล่นงานบรรดาเผด็จการ กฎหมายโดยตัวมันเองจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์เพียงพอให้ผู้ยึดอำนาจนั้นเกรงกลัว ดังนั้นโดยตัวของกฎหมายจึงต้องการอาศัยการบังคับใช้อย่างจริงจังด้วยเช่นกัน

แต่ปัจจุบันนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลักสิทธิขั้นพื้นฐาน หลักสิทธิมนุษยชนกลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การรับรอง และยอมรับโดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเอาไว้ จนอาจกล่าวได้ว่าหลักสิทธิมนุษยชนนี้สูงส่งยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ตลอดจนการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่ทำให้โลกทั้งใบเชื่อมโยงติดต่อกัน เสียงปืนที่เคยดังอยู่แค่ในประเทศไทยกลับดังก้องไปทั่วโลก และนานาชาติย่อมมิอาจนิ่งดูดายหากรัฐบาลไม่ว่าจะประเทศใดก็ตามประทุษร้ายต่อประชาช

ด้วยเหตุที่หลักสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนนั้นพัฒนาไปไกล ไกลเกินกว่าจะมีใครหน้าไหนจะหยิบปืนมาใช้ได้ตามใจชอบ นักกฎหมายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งลงยามเมื่อเสียงปืนดังอีกต่อไป เพราะนักกฎหมาย ตลอดจนประชาชนคนอื่นนั้นมีความชอบธรรมอยู่เต็มเปี่ยมที่จะลุกขึ้นยืน ชูสามนิ้วเพื่อคัดค้านการปล้นสิทธิของประชาชน

ยิ่งกฎหมายในปัจจุบันทั้งในประเทศ และในต่างประเทศ ก็ไม่ยอมรับการช่วงชิงอำนาจประหนึ่งสัตว์แย่งชิงการเป็นจ่าฝูงอีกต่อไป นักกฎหมายในปัจจุบันจึงสามารถใช้ความชอบธรรมดังกล่าวเพื่อต่อต้านการรัฐประหารได้ เผด็จการทหารคงไม่สามารถไล่ยิงพวกคุณเป็นผักปลาได้อีก เราต้องไม่ลืมว่า เผด็จการเหล่านี้ไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในการได้มาซึ่งอำนาจเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าบรรดาประชาชนต่างหากที่มีความชอบธรรม เพราะเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น ถ้านักกฎหมายยังคงซื่อสัตย์ต่อกฎหมาย และพร้อมพิทักษ์ไม่ให้ผู้ใดสามารถย่ำยีได้ นักกฎหมายจะต้องลุกขึ้นใช้กฎหมายเพื่อกำจัดอำนาจนอกระบบ เฉกเช่นที่นักกฎหมายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของการปฏิวัติในฝรั่งเศส เมื่อนั้นเราคงต้องเปลี่ยนสำนวนการพูดใหม่ว่า “เมื่อนักกฎหมายยืนขึ้น เสียงปืนก็เงียบลง”

- บุเรงนอง
 

No comments:

Post a Comment