Thursday, December 11, 2014

หนังสือ กษํตริย์ไม่เคยยิ้ม (The King Never Smiles)

หนังสือ กษํตริย์ไม่เคยยิ้ม (The King Never Smiles) - Paul Handley (ต้องห้าม)

http://www.mediafire.com/…/หนังสือ_ชีวประวัติกษัตริย์ภูมิพล…

 http://www.mediafire.f

https://drive.google.com/file/d/0B__Zssza-SiiQ0lMU0J6ODNpaTQ/view?usp=sharing

หลังจากวันที่พี่ชายเสียชีวิต เรื่องราวของภูมิพลขึ้นครองราชย์เหมือนกับตำนานจากเทพนิยาย 4 ปีที่ไปศึกษาต่อในยุโรป แล้วเดินทางกลับมาในปี 2493 ได้ทำพิธีราชาภิเษก และอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสิริกิต์ ผู้ที่มีเสน่ห์ความงามเป็นที่ชื่นชมของชาวโลก มีลูกด้วยกันสี่คน เป็นชายรูปหล่อหนึ่งคนซึ่งหวังว่าจะเป็นผู้สืบราชวงศ์ และหญิงสาม

รูปแบบสังคมสมัยใหม่ในแบบเจ้าขุนมูลนายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อกษัตริย์หนุ่มชอบแล่นเรือใบ เล่นดนตรีแจ็ซ มีสถานีวิทยุของตัวเอง เขียนรูปภาพสีน้ำมัน และชอบออกงานสังคมชั้นสูง เมื่อมีวาระโอกาสก็สวมใส่ชุดลายทอง สวมมงกุฎปลายแหลม อย่างเช่นในฉากละครเรื่อง The King and I ซึ่งเรียนแบบปู่ทวด เพื่อให้เหมาะสมกับวิถีทางประเพณีทางศาสนาพุทธ กษัตริย์หนุ่มลาออกบวช บำเพ็ญเจ ศึกษาภาษาโบราณ โดยการโกนหัว ใส่ชุดผ้าเหลือง ใส่แว่นกันแดด ดูแล้วเด่นยิ่งกว่าตัวละครในหนังสือของแจ็ค ครัวแวค เสียอีก (นักเขียนอเมริกัน ค.ศ.1922-1969)

ตำนานเรื่องราวของกษัตริย์มีเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2503 กษัตริย์ภูมิพลกับราชินีสิริกิต์ เดินทางออกเยี่ยมประเทศต่างๆอย่างประสพผลสำเร็จ เป็นอาคันตุกะของผู้นำประเทศในยุโรปและได้รับการต้อนรับด้วยขบวนพาเรดใน

นิวยอรค์ ส่วนในประเทศไทย ผู้ที่เลื่อมใสในระบบของราชวงศ์ต่างพากันฟื้นฟูประเพณีของกษัตริย์กันอีก ครั้งหนึ่ง คนไทยดูเหมือนจะนิยมยึดถือติดอยู่กับค่านิยมเก่าๆจากอดีต ในขณะที่ค่านิยมของตะวันตกและลัทธิคอมมิวนิสต์ได้แผ่กระจายเข้ามาในเขตอินโด จีนแล้ว

ภูมิพลละทิ้งค่านิยมในยุโรป หันมาปกครองประเทศในระบบโบราณพันล้านปีอย่างธรรมราชา กษัตริย์ที่ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ตามหลักศีลธรรมทางพุทธศาสนา ท่านได้ทำการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ขจัดรัฐบาลโกงกิน และนักการเมืองให้เดินถูกทาง ในกรณีที่ฉุกเฉิน อย่างในปี 2535 ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าไปช่วยให้สถานการณ์ของประเทศ ให้พ้นจากความสับสนอลหม่าน

ในทุกหัวเลี้ยวหัวต่อ ยิ่งเพิ่มอำนาจบารมีให้กับท่านมากขึ้น ซึ่งมีรากฐานมาจากคุณลักษณะที่นิ่งสงบและมีสง่าราศี ชาวไทยที่เชื่อถือในโชคลาภและกฎแห่งกรรม ต่างพากันคิดว่าเป็นบุญหล่นทับที่มีกษัตริย์ที่มีศุภนิมิตรเช่นนี้ ท่านทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดหน่อยเพื่อประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ การเสียสละของท่านเป็นที่เห็นกันดี ขณะที่คนไทยเป็นคนช่างยิ้มและชอบเรื่องตลกโปกฮา และปล่อยชีวิตให้เป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ตัวกษัตริย์ภูมิพลเองต้องเอาจริงเอาจัง ทนทรมานแบกภาระต่างๆของชาติเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่วันที่พี่ชายตายไปอย่างน่าสงสัย ดูเหมือนท่านไม่เคยยิ้มอีกต่อไป ลักษณะของท่านเหมือนติดอยู่ในกับดักภารกิจการกอบกู้ราชบัลลังก์

สำหรับชาวไทยทั่วไป นี่คือสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณที่สูงส่ง ในประเพณีทางพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม และการแสดงออกทางสีหน้าต่างๆคือการแสดงออกของความโลภและกิเลส กษัตริย์ภูมิพลจึงตีสีหน้าได้อย่างแน่นิงสนิท เพื่อสร้างความเชื่อถือยึดมั่นออกสู่สายตาประชาชน ดังเช่นกษัตริย์องค์ก่อนๆที่แสดงกันมา อย่างเช่นในสมัยธรรมราชาในศตวรรษที่สิบสามของอาณาจักรสุโขทัย ที่ชาวบ้านต่างเรียกกษัตริย์ว่า เจ้าแผ่นดิน หรือ เจ้าชีวิต จนแม้นกระทั่งชาวไทยที่ส่วนมากเปรียบเทียบกษัตริย์ของเขาเหมือนดังเช่น พระพุทธเจ้า กลับชาติมาเกิด

นี่คือวิสัยทัศน์หนึ่งของรัชกาลที่ 9 แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ในการที่กษัตริย์ภูมิพลสร้างอำนาจาและบารมีของราชวงศ์ขึ้นมาได้นั้นมันไม่ ใช่เรื่องง่ายและบังเอิญ มันเป็นการหว่านพืชเพื่อหวังผล และความตั้งใจแน่วแน่มานมนาน จนในบางครั้งก็มีความอำมหิตรวมอยู่ด้วย ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาสิทธิของสายเลือดโดยกำเนิดของราชวงศ์กลับคืนมา อันเป็นการแก้เผ็ดต่อการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2475 นี่คือผลพวงที่กษัตริย์ภูมิพลสร้างสะสมเอาไว้

เริ่มต้นจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดาเจ้าฟ้าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด ต่างพากันหว่านโรยรากฐานวัฒนธรรมของระบบราชาธิปไตยทิ้งไว้ โดยใช้ภูมิพลเป็นเครื่องมือในการสืบทอดและสถาปนาราชวงศ์ให้มั่นคงกลับขึ้นมา ใหม่ โดยได้กำจัดพวกหัวก้าวหน้าประชาธิปไตย และบรรดาพวกนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับใครก็ตามที่จะช่วยให้ภายในวังมีอำนาจมากขึ้น ดังเช่น พวกบรรดานายพลที่โหดเหี้ยมเห็นแก่ได้ พวกพ่อค้ายาเสพติด นายธนาคาร นายทุนหน้าเลือด ที่มีสายใยใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันและ C.I.A.

เพื่อเป็นการรื้อฟื้นและสถาปนาระบบกษัตริย์ให้เข้มแข็ง จึงมีระเบียบการบริหารที่ทำการควบคุมการศึกษา ศาสนา การตีความและการบันทึกประวัติศาสตร์ และปลูกฝังค่านิยมด้วยคำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ชาวบ้านท่องจำกันทุกๆวัน กษัตริย์คือสิ่งสำคัญที่สุดขององค์ประกอบทั้งสาม อย่างไรก็ตามในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนในประวัติศาสตร์ หนังสือ รวมทั้งสื่อมวลชนต่างถูกคุกคามและควบคุม ไม่มีนักการเมือง นายกรัฐมนตรี ผู้นำสังคม คนใดที่จะได้รับการจารึกเอาไว้ในความสำเร็จต่างๆ นอกจากกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย เพื่อเป็นการปกป้องราชวงศ์ วันหยุดต่างๆคือวันหยุดที่ให้เกียรติ์ต่อราชวงศ์ ชื่อสถาบันต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาล ต่างพากันตั้งชื่อเพื่อให้เป็นเกียรติคุณต่อราชวงศ์จักรีเท่านั้น

สิ่งที่ยอมรับกันดีในสังคมไทยก็คือ ในช่วงที่ภูมิพลขึ้นครองราชย์นั้น ประเทศไทยได้หันเหไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยแล้ว แต่คนจำนวนสี่ส่วนห้าของพลเมือง 18 ล้านคนยังอยู่ในชนบทและป่าเขา มีวัดเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน การทำไร่ไถ่นาตามฤดูกาลต่างขึ้นอยู่กับความเชื่อทางพุทธศาสนา เมื่อชาวบ้านมีการศึกษาน้อยและมีความเชื่อถืออยู่กับวัดวาอารามและศาสนา ดังนั้นคุณงามความดีต่างๆที่เกิดขึ้นได้นั้นก็เพราะกษัตริย์ เริ่มจากฤดูฝน ไปจนถึงการช่วยเหลือผู้ประสพภัยต่างๆ การค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ ชาวบ้านต่างคิดว่ามาจากนายหลวง หาใช่มาจากภาครัฐบาล หรือตัวแทนของประชาชน หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งอันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง

ด้วยความตั้งใจมั่น ฝึกฝน ในเชิงประเพณีและวัฒนธรรมไทย ทำให้ผู้คนในประเทศมองเห็นกษัตริย์ภูมิพลว่ามีความชอบธรรม ฉลาด และเมตตาปราณี อย่างที่ชาวบ้านเห็นกันกับตากันอยู่เรื่อยๆว่า แม้นแต่นายพลผู้มีอำนาจ บรรดานายธนาคาร ข้าราชการ รวมทั้งพระก็ยังต้องก้มลงกราบเบื้องพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งตามกฎหมายได้ยกเลิกกันไปนานหลายร้อยปีแล้ว แม้นกระทั่งได้เปรียบเทียบกษัตริย์ที่มีรูปลักษณะที่สงบนิ่งคล้ายกับได้ บรรลุโสดาบันถึงขั้น อุเบกขา บรรดาพวกข้าทาสในวังต่างปกป้องไม่ยอมอนุญาตให้ตีพิมพ์รูปภาพ รูปเขียน ของกษัตริย์ที่มีรอยยิ้ม เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อต่อชาวบ้านให้เคารพบูชากษัตริย์และราชวงศ์ให้สูง ส่งอยู่เหนืออำนาจใดๆทั้งมวล รวมทั้ง ประชาธิปไตย รัฐสภา รัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆของประเทศ

เป็นเรื่องที่น่าทึ่งว่าตามเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา กษัตริย์ภูมิพล เกิดในอเมริกา ได้รับการศึกษาที่มีเหตุมีผลจากสวิสเซอร์แลนด์ ได้กลับกลายเป็นผู้มีความเลื่อมใสเชื่อถือในการปรกครองระบอบธรรมราชา โดยได้ทำการศึกษาจากความสำเร็จของบรรพบุรุษเช่นกษัตริย์องค์ก่อนๆ เรียนรู้พิธีราชกรณียกิจ ศึกษาค้นคว้าพุทธปรัชญา และบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจที่เฉียบขาด โดยได้เรียนรู้ทุกอย่างครอบจักรวาล เพื่อเป็นผู้คงแก่เรียนและตัดความเห็นแก่ตัวออกไป ผลลัพธ์คือเป็นกษัตริย์ผู้เพียบพร้อมแข็งแกร่งสามารถนำประเทศชาติและประชาชน ให้พ้นภัยได้
ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง กษัตริย์ภูมิพลได้ก้าวเดินไปไกลเกินกว่าที่ปรึกษาองคมนตรีและบรรพบุรุษได้ ตั้งใจเอาไว้มาก ในปี 2503 อันเป็นช่วงวิกฤตการสูงสุดของสงครามอินโดจีน ท่านได้เอาตัวเอง เข้าไปพัวพันกับการเมือง การพัฒนาประเทศ การยุททศาสตร์ โดยทำตัวอยู่ในหลังม่าน กษัตริย์ภูมิพลวางแผนชาติ แนวทางประชาชน จนแม้นกระทั่งทำการเลือกตัวผู้นำประเทศ ท่านได้ร่วมเป็นผู้นำการวางแผนการยุทธศาสตร์ในการต่อต้านการแทรกแซง ซึ่งได้นำไปใช้แทนกลยุทธ์อเมริกันในสงครามเวียดนาม จนช่วงสามสิบปีของการครองราชย์ ในปี 2519 ท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจการเมืองอย่างสูงสุดในประเทศไทย ท่ามกลางระบบประชาธิปไตยที่มีพระกษัตริย์เป็นประมุขที่มีอยู่ในโลก กษัตริย์ภูมิพลอาจเป็นกษัตริย์ผู้เดียวที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการ เมืองมากที่สุด

กษัตริย์ภูมิพลได้รับความนับถือ ถึงขั้นเอาขึ้นแท่นบูชาจากประชาชนไทย ทุกคนต่างทราบกันดีว่า ท่านมีความปรีชาสามารถ และช่วยเหลือประชาชน แต่ก็คงไม่มีใครกล้าพูดถึงท่านในทางไม่ดีเป็นแน่ เพราะมีกฎหมายหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพที่ปกป้องทุกคนในราชวงศ์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากมีความผิดมีสิทธิ์ติดคุกถึง 10 ปี อันเป็นสาเหตุที่ไม่ให้มีใครกล้าพูดถึงกษัตริย์ไทยและครอบครัว รวมทั้งบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย หลังจากที่ได้เสวยราชย์มาได้ร่วมหกสิบปี ประวัติและเรื่องราวของกษัตริย์ภูมิพลที่มีส่วนพลั่กดันประเทศชาติ ยังไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้อง

ในเรื่องราวต่างๆที่บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กษัตริย์ภูมิพลได้สร้างกรณียกิจเอาไว้มาก เมื่อมีเหตุการณ์ไม่สงบหรือขัดแย้งกันเกิดขึ้น อย่างในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ท่านได้แสดงตัวออกมาเพื่อสร้างความสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งเดียวกันให้กับ ประเทศไทยอีกครั้ง

แต่ผลลัพธ์ของกษัตริย์ภูมิพลที่นำเอาระบบธรรมราชากลับมาใช้อาจจะไม่แจ่มแจ้ง เท่าตัวท่านเอง หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2475 กษัตริย์มีหน้าที่เพียงเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น อย่างไรก็ตามการที่ท่านเอาตัวเข้าไปพัวพันมีบทบาทการเมือง ย่อมมีผลที่แตกร้าวระหว่างผู้คนในภายหลัง แทนทีจะสนับสนุนความก้าวหน้าทางด้านประชาธิปไตยต่างๆ ในวังกลับจำกัดขอบเขต วิถีทางการเมือง เศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่ละเมิดขอบค่ายและผลประโยชน์ของราชวงศ์ ซึ่งกษัตริย์ได้ปลูกฝังความคิดไว้ว่าให้ชาวบ้าน เคารพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

กษัตริย์ภูมิพลได้รับการอบรมสั่งสอนจากบรรดาที่ปรึกษาองคมนตรีผู้อาวุโส ต่างๆในราชวงศ์ ให้มีหน้าที่ปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์อย่างสุดความสามารถ และจากพื้นฐานนี้ ท่านจึงสรุปเอาไว้ว่า บรรดาสมาชิกสภาต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ท่านตัดสินใจเอาเองว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อ ราชวงศ์ และไม่ปกป้องในเนื้อหาจุดประสงค์ของท่าน ยิ่งกว่านั้นท่านยังมีความเชื่อว่าระบบประชาธิปไตยแบบยุโรป รัฐธรรมนูญ และทุนนิยม ต่างแบ่งแยกประชาชน ซึ่งขัดต่อการปกครองแบบระบอบธรรมราชา หรืออีกทัศนหนึ่งก็คือประเทศไทยสมัยใหม่ ควรที่จะอยู่ใต้คำบ่งการของกษัตริย์และกฎทางศีลธรรม มีความจงรักษ์ภักดี ดังเช่นบรรดาข้าราชบริพาร ขุนพล ขุนนาง ผู้สืบเชื้อสายตระกูลของราชวงศ์ ดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

จนถึงที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้รวบรวมขุนพลนายทหารหน้าข้าวตังไว้ในวังมากมาย และพวกมันได้ทำการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า ความโหดเหี้ยมและการโกงกินนั้นเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่สังคมจะแก้ไขได้ อย่างเช่นในปี 2513 ที่พวกลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลในประเทศ เพียงแต่การผงกหัวส่งสัญญาณจากในวัง ภายใต้ความเชื่อถือใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตราบใดที่บรรดาทรราชขุนพลแสดงความจงรักษ์ภักดีต่อราชวงศ์มากกว่า การยึดถือในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และตราบใดที่ราชอาณาจักรไทยมีความสงบเรียบร้อย กษัตริย์ภูมิพลก็คงจะปล่อยให้ขุนพลเหล่านั้นกุมอำนาจกันต่อไปในมือ

ในจำนวนเก้าครั้งที่มีทหารทำการปฏิวัติได้สำเร็จ และหลายครั้งที่ล้มเหลว ย่อมมีผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ รวมทั้งเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ การฆ่าหมู่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 ที่ทหารอ้างว่ากระทำไปเพื่อเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ของชาติ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 พลเอก สุจินดา ผู้โกงกินประเทศได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำทหารสูงสุด พลเอก สุจินดา ได้ทำการปฏิวัติในปี 2534 และได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ภูมิพล และต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้ประจันหน้ากันกับกลุ่มชุมนุมผู้ประท้วงที่สงบเสงี่ยม สุจินดาสั่งการให้ทหารยิงปืนกราดไปยังเหล่าผู้เดินขบวน โดยอ้างว่าพวกผู้เดินขบวนมีความเป็นภัยต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามวันต่อมากษัตริย์ได้เข้าไปยุติเรื่องราวเหล่านี้ และอย่างที่เห็นกันว่า สุจินดาได้รับการปกป้องจาก กษัตริย์ โดยที่กษัตริย์ได้ทำการตำหนิว่าคู่ปรปักษ์ ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และโยนความผิดไปที่นายจำลอง มากกว่าสุจินดา

การที่กษัตริย์ภูมิพลเข้าไปไกล่เกลี่ยกรณีขัดแย้งนี้เป็นเวลาราวสิบเอ็ดชั่ว โมงในพฤษภาทมิฬ เป็นการกระทำที่ปราศจากประหม่า และสร้างผลงานให้กับตนเองอีกครั้ง หลายปีผ่านไปภาพของเหตุการณ์นั้นที่กษัตริย์ออกมาตักเตือนคู่ปรปักษ์ทั้งสอง คือ สุจินดา และ จำลอง ได้นำออกมาเปิดเผยทางโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า รวมทั้งทำเป็นหนังสือเพื่อเตือนความทรงจำของคนไทย 60 ล้านกว่าคนว่า สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยที่ดำรงคงอยู่รอดมาได้นั้น ก็เพราะบารมีของราชวงศ์จักรีที่คุ้มครองชาติไทย

กษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในศตวรรษที่ยี่สิบ ที่ต้องการแข่งขันมีอำนาจกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในสมัยใหม่ แทนที่จะยอมรับตำแหน่งของตนเองอย่างในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น กษัตริย์ภูมิพลทำตัวเป็นตัวเอกในด้านการเมือง การสร้างความสำเร็จเหล่านี้เป็นการเสี่ยงตนเองอย่างยิ่ง ระบบราชาธิปไตยนั้นเหมือนดาบสองคม ถ้าทำสำเร็จก็คือยกย่องสถาบันกษัตริย์ ถ้าล้มเหลวก็คือทำลายทั้งระบบและบารมี เพราะบารมีคืออำนาจที่แท้จริงในระบบราชาธิปไตยสมัยใหม่ และยากต่อการสร้างสม บรรดากษัตริย์และราชินีส่วนมากต่างหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการ เมือง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงกับการเมืองชั้นต่ำสวะ

กษัตริย์ภูมิพลไม่ไยดีต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ ครั้งแล้วครั้งเหล่าที่นำตัวเข้าไปมีบทบาททางด้านการเมือง แต่ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มชัยชนะและสร้างภาพพจน์ให้ดีและยิ่งใหญ่มากขึ้น เท่านั้น จะเห็นได้จากอย่างในกรณีวิกฤตกาลต่างๆ ยกเว้นเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในปี 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กษัตริย์ทำการพลิกแพลงวิกฤตกาลต่างๆจนกลายเป็นวีรบุรุษ โดยการกำจัดคนชั่ว ปกป้องรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย นี่คือการแสดงที่แนบเนียมน่าเชื่อถือของกษัตริย์ภูมิพล

สำหรับพวกผู้ดีชั้นสูงที่สนับสนุนและหาผลประโยชน์กับราชบัลลังก์ มันคือการปกป้องพวกเจ้าขุนมูลนาย ชนชั้นสูง นายทหาร และนักธุรกิจใหญ่ๆ แต่กษัตริย์ภูมิพลเห็นว่าควรทำตัวให้สูงส่งกว่าการทำตัวอวดดีและเห็นแก่ตัว นั้น เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เชื่อถือในการปกครองด้วยระบบธรรมราชา ที่มีนโยบายในการปกครองประเทศตามหลักธรรมในพุทธศาสนา ท่านคิดว่าพวกที่ทำตัวเป็นบริวารล้อมรอบท่านนั้นไม่มีความจริงใจในการใช้ หลักแห่งธรรม ท่านรู้ว่ามีแต่ชาวบ้านหรือชนชั้นชาวนาเท่านั้นที่มีความเชื่อถือในตัวท่าน

เป็นเวลาร่วมห้าสิบปีที่กษัตริย์ภูมิพลได้ทุ่มเทสร้างสมความดี ท่านพยายามที่จะเข้าถึงคนยากคนจนผู้ต่ำต้อย ท่านเข้าไปไกล่เกลี่ยอย่างเงียบๆในกรณีที่ชาวบ้านถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่ ท่านตักเตือนให้หลีกเลี่ยงความโลบและการลุ่มหลง และตลอดเวลาท่านไม่เคยหลงใหลไปกับความสุขสบายอย่างกษัตริย์ ยกเว้นสมาชิกในครอบครัว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เจือจางความสำเร็จในการครองราชย์ครบรอบห้าสิบปี ในปี 2543 ประชาชนชาวไทยต่างได้รับการสนับสนุนให้ยกย่องเฉลิมฉลองเชิดชูกษัตริย์ของตน จนเท่าเทียมกับเทวดา ไม่ต่างจากศตวรรษที่ผ่านมา ที่ภายในวังเคยพยายามสร้างความประทับใจเช่นนี้เอาไว้แล้ว
การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น คือเรื่องราวของกษัตริย์ภูมิพลกับราชวงศ์ที่ประสพความสำเร็จ เป็นผู้นำที่คงทนหลังจากสงครามโลกและผ่านภาระช่วงสงครามเย็นที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวต่างๆไม่เคยบันทึกเอาไว้ นักคิดนักเขียนต่างไร้ข้อมูลและหลีกเลี่ยงการเขียนถึง ตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยได้เน้นถึงความก้าวหน้า และเลิกให้ภายในวังมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการเมือง บางคนก็ยังหน้ามืดตามัวหลงอยู่กับระบบกษัตริย์ บางคนก็เกรงกลัวกับขอห้าหมิ่นประมาทราชวงศ์ ผลลัพธ์ที่แน่ชัดก็คือการสร้างความเชื่อถือที่ว่า กษัตริย์คือผู้ที่อุทิศตนเพื่อมวลชน มีความยุติธรรม และไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับการขัดแย้งทางการเมือง

ผลงานการค้นความของหนังสือเล่มนี้ต้องการบรรยายให้เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำอย่างไร ในการสร้างสถาปนาราชบัลลังก์จักรีให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กุญแจแห่งความสำเร็จเหล่านี้คือ รากฐานวัฒนธรรม ประเพณี การสร้างสงครามเย็น การพัฒนาการด้านความคิด โลกทัศน์ส่วนตัวของกษัตริย์ และลัทธิทุนนิยมจากในวังที่น้อยคนจะรู้นัก และเนื้อหาสาระที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องอื้อฉาวต่างๆภายในครอบครัวและราชินีสิริกิต์ รวมทั้งลูกหลานและเหลน เพราะบรรดาบุคคลในราชวงศ์เหล่านี้ มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวในการเสริมสร้าง และสถาปนาราชวงศ์จักรีของกษัตริย์ภูมิพล ให้อยู่รอดได้อีกครั้งหนึ่ง

ระบบราชาธิปไตยในความหมายแล้วคือการสืบสันตติวงศ์ อำนาจที่ผ่านมอบให้ต่อผู้ที่มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับกันตามอันดับ ฐานันดร โดยเฉพาะโอรสองค์แรก การสืบสันตติวงศ์โดยโอรสตามลำดับนี้อาจจะล้มเหลวได้ ไม่มีการรับประกันได้ว่าจะมีการสืบทอดราชวงศ์ หรืออาจจะลงเอยด้วยการได้กษัตริย์ที่ปราศจากคุณวุฒิและมีความชั่วร้าย

เมื่อภูมิพลได้มงกุฎกษัตริย์มาสวมใส เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการสืบต่อของระบบราชาธิปไตยนั้นน่าทึ่ง แต่ผู้ที่หวังจะขึ้นครองราชย์คนต่อไปคือโอรสของกษัตริย์ภูมิพลกับราชินีสิริ กิต์ คือเจ้าฟ้าวชิราลงกรณนั้นไม่มีความสามารถเทียบเท่ากับผู้เป็นพ่อ เช่นเดียวกับเจ้าชายชาร์ลแห่งอังกฤษที่รอแล้วรอเล่าที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณก็เช่นเดียวกันที่เฝ้ารอรับตำแหน่งอย่างน่าระเหี่ยใจ แม้นเรื่องราวที่มีมลทินต่างๆจะถูกเก็บปกปิดเอาไว้ก็ตาม แต่ตามท้องถนนในกรุงไปจนถึงทุ่งนาป่าเขาจะได้ยินเสียซุบซิบนินทาด่าว่า เกี่ยวกับเจ้าฟ้าคนนี้

ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณหวังรอที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์นั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่างจากสมัยที่กษัตริย์ผู้พ่อเข้ารับตำแหน่ง ปัจจุบันน้อยกว่าครึ่งของคนไทยที่เป็นชาวนาตาสีตาสา และคนส่วนมากต่างมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน และบางคนอาจมีชีวิตอาศัยทำงานอยู่ในต่างประเทศที่เจริญแล้วเช่นเอเชียหรือใน โลกตะวันตก ปัญหาของประเทศนั้นยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องอาศัยผู้เชียวชาญช่วยในการแก้ไข ขณะเดียวกันภายในวังก็ไม่สามารถจำกัดการเผยแพร่ทางด้านสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งภาพพจน์ที่ไม่ดีของตนเองได้

โอกาสที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณจะเข้ามาทำหน้าที่กษัตริย์ได้สมกับผู้เป็นพ่อค่อน ข้างจะยากมาก และคนไทยส่วนมากต่างก็หวาดระแวงกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เมื่อถึงจุดที่สูงสุดของการปกครองในระบบราชาธิปไตยนี้ สถาบันกษัตริย์ไทย ต้องเผชิญกับอนาคตที่น่าเขย่าขวัญกันต่อไป คือการสืบสันตติวงศ์อันเป็นสิ่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างราชวงศ์กับ รัฐบาล ซึ่งต่างยังหาทางออกกันไม่ได้ นอกจากช่วยกันสนับสนุนและสร้างค่านิยมให้กับราชวงศ์จักรีกันต่อไป ด้วยประเด็นนี้จึงทำให้เกิดคำถามอย่างกว้างๆเกี่ยวกับรัชกาลที่เก้าที่จะ ต้องการซ่อมแซมสถาบันของตนเอง จริงหรือที่กษัตริย์ภูมิพลได้สร้างรูปแบบการปกครองในระบบราชาธิปไตยให้คง อยู่ได้อีกครั้ง ในยุคสมัยของระบอบที่ก้าวหน้าอย่าง ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หรือว่ามันเป็นการกระทำที่ผิดพลาดที่นำเอาระบบกษัตริย์กลับมาใช้อย่างไม่ถูก ต้องกับกาลสมัยนี้ มันเป็นการรื้อฟื้นระบบที่ตายไปแล้วกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะกระทำเลยก็ได้

 

No comments:

Post a Comment