Friday, December 5, 2014

"สิ่งยึดเหนี่ยว" ที่ว่า คือ ต้องสมมุติอะไรสักอย่างที่ไม่เป็นจริงทีเพอร์เฟ็คขึ้นมาไว้ "ยึด"

ใน ระดับปัจเจกชน ถ้าใครอ่อนแอ เปราะบางทางใจ จะรู้สึกว่า ต้องการ

 "สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ"

ยิ่งเปราะบาง อ่อนแอมาก การยึดเหนี่ยวก็มักมีลักษณะไม่มีเหตุผลมากตามไปด้วย
ในระดับปักเจกชนในบางระดับบางกรณี ผมก็ว่าไม่มีปัญหานะ แม้จะถือว่าเป็น

 "อาการป่วย(ทางใจ)"

อย่างหนึ่ง (อย่างคนมีความรัก ตกหลุมรัก ฯลฯ .. แฮ่ๆ ผมเคยมีประสบการณ์มาก่อน นานมาแล้ว เข้าใจและเห็นใจอยู่ อิอิ)

แตว่า ถ้าปรากฏการณ์ลักษณะนี้ มันมีลักษณะเป็นปรากฏการณ์ร่วม ชนิดรวมหมู่คนหมู่มาก
ประเภทต้องคอยพึ่งอะไรมายึดเหนี่ยวทางใจ อย่าง ไม่มีฐานของเหตุผลหรือความจริง 
หรือบรรทัดฐานอะไรมารองรับเลย แล้วในเมื่อเป็นปรากฏการณ์ระดับสังคม 
ต้องทุ่มเททรัพยากร และใช้กลไกอำนาจรัฐมาบังคับ ให้ดำรงภาวะนั้นอยู่ .. อันนี้แหละทีเป็นปัญหาหนัก เป็น 

"อาการป่วยร่วม"

 ของสังคม ทีต้องแก้ ต้องเลิก

การทีชนชั้นกลางไทยในเมือง ที่เติบโตขึ้นหลังทศวรรษ 2530

เกิด "อาการป่วย" เป็นโรค "รักในหลวง"

คือ ยึดเหนี่ยว กับอะไรที่ โดยบรรทัดฐานที่ตัวเองใช้กับเรื่องอืนๆ ไม่มีเหตุผลเลย
คือ เชื่อเอาเป็นเอาตาย หัวปักหัวปำ กับสิ่งทีไม่เคยให้ตรวจสอบ
ให้เสนอข้อมูล มุมมองแบบอื่น ให้มองได้แบบเดียว ซึงไม่มีใครคิดว่า
มีอะไรอย่างอื่นในโลกมนุษย์จะเป็นแบบนั้น - นี่ไง ความหมายของ

"สิ่งยึดเหนี่ยว" ที่ว่า คือ ต้องสมมุติอะไรสักอย่างที่ไม่เป็นจริงทีเพอร์เฟ็คขึ้นมาไว้ "ยึด"

มันสะท้อนความอ่อนแอทางจิตใจของทั้งชนชั้น (มองในทางทฤษฎีแบบ "นิชเชี่ยน" หน่อย ก็พูดได้ว่า เป็นเรื่องของ Power หรือ อำนาจ คือ การยึดเหนี่ยวเช่นนี้ ทำให้รู้สึกตัวเองมี "อำนาจ"

คือ เป็นอะไรที่มีความหมายขึ้นมาในโลกนี้ .. ประเภท ทีชอบฟูมฟายว่า

 "ภูมิใจมากที่เกิดมาใต้บารมี"

อะไรแบบนี้ คือ ถ้าไม่มี "บารมี" ให้ยึดเหนี่ยว ชีวิตทีเกิดมาก็ไม่รู้สึกมีความหมายอะไร)

Post by Somsak Jeamteerasakul.

ต่อเนื่องจากกระทู้ข้างล่างนะครับ (ต่อจากด้านบน)

ชนชั้นกลางในเมืองที่มีการศึกษา ที่มีอาการโรค "รักในหลวง" จะว่าไปก็เหมือน "ทารก" คือไม่รู้จักโตด้วยตัวเอง ต้องมีอะไรมายึดเหนี่ยวไว้ ไม่ว่า สิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ จะไม่มีเหตุผลแค่ไหน ‪#‎โดยบรรทัดฐานทีตัวเองใช้กับเรื่องอืนๆ‬ (คือ ไมมีใครในหมู่ คนรักในหลวง จะบ้าพอจะบอกว่า ต้องเชื่อข้อมูลอะไรที่เสนอได้แบบเดียว ไมให้ตรวจสอบ ไม่วากับเรืองอะไรทั้งนั้น - ยกเว้นกับเรื่องเดียวคือเรื่องในหลวง)
จะเรียกว่าเป็นโรค "Collective Infantilism"* (ความเป็นทารกรวมหมู่) ก็ได้มั้ง (ฮ่าๆ ผมตั้งเองให้ดูเท่ห์ๆ)
อันที่จริง ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ใช้เหตุผลพื้นๆ
การทีรัฐสมัยใหม่ สังคมสมัยใหม่ (ที่เศรษฐกิจ การศึกษา เทคโนโลยี่ อยู่ในระดับทีไม่ใช่ต่ำๆแล้ว) แบบกรณีประเทศไทย
คนจำนวนมาก จะมาพร้อมใจเรียกหรือถือเอาผู้ปกครองว่าเป็น "พ่อ" นี่ เป็นอะไรทีมัน perverse หรือวิปริต มากๆ
คือต้องมี "ความเป็นทารกรวมหมู่" อย่างหนักมากๆ อ่อนแอ เปราะบางทางใจมากๆ ถึงรู้สึกว่าต้องทำกันแบบนั้น
นี่ไงการแสดงออกชัดๆเลย คือถ้าไม่เป็นทารก ก็ไม่รู้สึกว่า ต้องเรียกผู้ปกครองคนไหนเป็น "พ่อ" หรอก (พ่อตัวเองก็มีกันทุกคน แต่รู้สึกยัง "ยึดเหนี่ยว" ไม่พอ ที่สำคัญ พอทุกคนโตแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะไปยึดเหนี่ยวพ่อตัวเองในแบบทารกอีก .. แต่ทีหันมาให้ยึดเหนี่ยวผู้ปกครองเป็น "พ่อ" กันในระดับสังคมนี่ มันสะท้อนอาการความเป็นทารกแบบร่วมหมู่นั่นแหละ)
.......................
* จริงๆในทางการแพทย์ มันมีโรคชื่อนี้จริงๆ infantilism เป็นคำโบราณเลิกใช้แล้ว เรียกการเติบโตที่มีปัญหา คือไม่บรรลุความเป็นผู้ใหญ่สักทีทั้งทางร่างกายและ/หรือจิตใจ

No comments:

Post a Comment