Saturday, December 6, 2014

เรื่อง กระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ) ผู้ตกเป็นเหยื่อ

มีท่านสมาชิกแจ้งว่า อ่านไม่ได้ เลยแชร์มาอีกที
น่าจะอ่านได้แล้วนะ ลองอ่านดู
ว่า 112 แม่งเหี้ยยังไง และ ผบ.ตร.แม่งเหี้ยยังไง
ฝากเรียนถึง
พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล
พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย
เพื่อโปรดทราบ

Statement from fugitive Thai billionaire Nopporn Nick Suppipat:

เรียน ท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชน

 

เรื่อง กระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ) ผู้ตกเป็นเหยื่อ



สืบเนื่องจากการมีข่าวของกระผม นพพร ศุภพิพัฒน์ เข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวการเจรจาหนี้ ที่เป็นคดีสำคัญ และถูกกล่าวหาว่าใช้จ้างวานให้สามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาไปอุ้มตัวนายบัณฑิตมา เพื่อบีบให้ลดหนี้จำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท จนต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาต่างๆรวมถึงความผิดตาม ม 112 ความตามที่ท่านทราบแล้วนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว กระผมคือผู้ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด กระผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากท่านสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะให้ความยุติธรรม กับผมได้ และสื่อสารความจริงสู่สังคมและสาธารณชน

เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆดังนี้

1.กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต

ในความเป็นจริงแล้วกระผมถูกขูดรีดจากนายบัณฑิตเสมอมา ความเดิมคือกระผมกับนายบัณฑิต และเพื่อนอีก 2 คนร่วมกันลงในทุนใน บริษัทชื่อ กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 กระผมได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3 คน รวมทั้งบัณฑิตไม่เห็นว่าเป็นการกู้ยืมจึงไปแจ้งความดำเนินคดีกระผมในข้อหา ยักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัทฯในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของ บริษัทฯ(ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน)จำนวน 8.9 ล้านบาทแทนบริษัทในปี 2547 และในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทฯอีก 17 ล้านบาท โดยใด้ไปทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 โดยในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่าผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทฯจนครบ ถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป(หลักฐานปรากฏตามสัญญาประ ณีประฌอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ พร้อมเอกสารประกอบ เดือนเมษายน 2555 ซึ่งมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) จึงคงเหลือแต่บัณฑิตซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้านดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆกับนายบัณฑิตทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่เดือน เมษายนปี 2555

2. การขูดรีดครั้งที่ 1 นายบัณทิตเรียกร้องเงิน 100 บาทเพื่อแลกกับการถอนฟ้อง

ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป กระผมจึงจึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้านไปให้บัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีที่กระผมติดหนี้บริษัทซึ่งผมได้ชดใช้ไป หมดแล้ว แต่ไม่ได้ตอบกลับจากนายบัณทิต จนกระทั่งผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรปในวันที่ 24 พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่านายบัณฑิตจะเปิดตัวเลขกลับมา ที่ 100 ล้านบาท (ซึ่งคงเพราะทราบว่านิตยสารฟอร์บฉบับเดือนมิถุนายนได้ประเมินทรัพย์สิน ของกระผมที่ 26,000 ล้าน) แต่กระผมคิดว่าน่าจะต่อรองได้ในราคา 50-60 ล้านบาท(ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง) ในวันที่ 18 มิถุนายนขณะกระผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสจึงให้นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2 ฉบับมาให้ทางอีเมล์ ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้าน ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้าน (หลักฐานตามอีเมล์อีกฉบับที่ผมส่งมาพร้อมกันนี้) จากนั้นกระผมปรินท์สัญญาทั้งสองฉบับออกมาเพื่อลงชื่อ และส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL (หลักฐานซอง DHL ดังกล่าวเก็บอยู่ที่นายพิษณุ)

3. นายปริญญา รักวาทิน หรือเสธ เจี๊ยบ

อย่างไรก็ดีเพื่อความมั่นใจว่าเรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผมโทรฯทางไกลมาปรึกษากับนายปริญญา หรือเสธ เจี๊ยบ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บ เรือด่วนเจ้าพระยาฯ (ทางทนายพิษณุเคยแนะนำให้รู้จัก) และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับ เสธ คนดัง ว่าสามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้ หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้ หรือไม่ ซึ่งนายปริญญาก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าสามารถทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้านก็เป็นจำนวนมากพอที่น่าจะทำให้นายบัณฑิตยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลางบัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบ ไร้เหตุผล ที่กระผมต้องพึ่งผู้ใหญ่ในการเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะนาย บัณทิตเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลภาคใต้ซึ่งทราบกันดีว่าร่ำรวยจากการค้าของ เถื่อน

3. ผมไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 23 มิถุนายน

ทางนายปริญญาหรือนายเจี๊ยบแจ้งว่าผู้ใหญเรียกค่าดำเนินการ 30 ล้าน ผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้าน ส่วนอีก 25 จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือต้องให้คู่เจรจาคือนาบัณฑิตยอมความโดยสมัครใจ หรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านนี้ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เสธ เจี๊ยบจะไปเชิญ เสธ คนดังซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฎข้อเท็จจริงในวันที่ 23 มิถุนายนว่านายปริญญาไปว่าจ้างสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชามากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้บัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง

4. ผมถูกขูดรีดครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 150 ล้าน

หลังเกิดเหตุดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่าบัณฑิตไม่พอใจอย่างมากนายบัณทิต จึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้าน ผมเรียนตรงๆว่าขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงแจ้งว่ายินดีจะจบที่ 120 ล้าน โดยจ่ายทันที 80 ล้าน และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้าน บัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประณีประฌอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน สำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสโดยเดินกลับกรุงเทพ ประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม

5. ถูกนายเจี๊ยบหรือ นายปริญญาขูดรีดอีก 25 ล้านบาท

ต่อมานายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านกับผมอีก ผมตอบไปว่านายปริญญาไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้วยังจะมา ขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญาเพียงตอบสั้นๆว่าอยากมีเรื่องกับ…(หมายถึงสามพี่น้องฯ)หรือ ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาที่ผ่านมา

6. ตำรวจ สน.วัดพระยาไกรปิดบังหลักฐานและจงใจให้ผมตกเป็นเหยื่อ

พนักงานสอบสวน สน วัดพระยาไกรที่รู้จักกับนายปริญญา ชื่อผู้กองอรุณได้ติดต่อผ่านทนายพิษณุให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ ผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้มีบันทึกข้อความการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อสารวัตรชูศักดิ์ถามผม ว่ารู้จัก ”เจี๊ยบ”หรือไม่ ผมเห็นว่าทั้งทนาย และพนักงานสอบสวนคือผู้กองอรุณที่ร่วมสอบสวนอยู่ด้วยเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงรู้สึกไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ยืนยันว่าจะกลับมาให้การเพิ่ม จนวันรุ่งขึ้น(วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน) ผมโทรศัพท์หาสารวัตรชูศักดิ์เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และนำหลักฐานต่างๆไปส่ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่าเจี๊ยบคือใครไม่ต้องมาหรอก ผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้(ทั้งๆที่ทางตำรวจก็มีเอกสารสำเนาการ ยอมความที่ศาลข้างต้นทั้งสองชุดเป็นหลักฐาน) ผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำจึงมีจำเป็นต้องหลบหนีออก นอกประเทศมาตั้งหลักเพื่อทำหนังสือฉบับนี้เพื่อแถลงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชน ได้รับทราบในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจึงใคร่ขอเรียนแจ้งให้ทราบจากปากคำของผมเอง และขอขอบพระคุณท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำ เสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า

ขอแสดงความนับถือ
นายนพพร ศุภพิพัฒน์

No comments:

Post a Comment